'ณัฐพงษ์' จี้ แจงชัดเลื่อนถกสหรัฐ หนุนมัดรวมอาเซียน สร้างอำนาจต่อรอง

ผู้นำฝ่ายค้าน จี้ รัฐบาลแจงให้ชัดเลื่อนถกสหรัฐ ปมกำแพงภาษี หนุน 'มัดรวมอาเซียน' สร้างอำนาจต่อรอง พร้อมมองไทยถูก'แบนวีซ่า' กรณีส่งตัวอุยกูร์ จุดเสี่ยงเจรจาสะดุด
ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีรัฐบาลเลื่อนเจรจาการค้าไทยสหรัฐ ประเด็นการขึ้นกำแพงภาษีตามนโยบายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่23 เม.ย.ออกไปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการสื่อสารในเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องพรรคร่วมรัฐบาล
แต่ขณะนี้ มีการสื่อสารไม่ตรงกันว่าตกลงแล้วสหรัฐเป็นคนเลื่อนหรือเป็นที่ฝั่งไทยกันแน่ซึ่งเราอยากได้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาจากทางรัฐบาล
ทั้งนี้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งเราอยากให้การเจรจาประสบความสำเร็จอยู่แล้วทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลและคณะผู้แทนที่ไปเจรจาจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการพูดให้ตรงกันทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสื่อสาร เช่นทางฝั่งไทยระบุว่าทางสหรัฐขอเลื่อน ขณะที่อีกฝั่งมองว่าทางฝั่งไทยไม่ได้นัดไปจึงขอเลื่อนเองหรือไม่
ฉะนั้นจึงคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาเกิดข้อเสนอสะดุดไม่ราบรื่นดีเท่าที่ควร
เมื่อถามว่า เรื่องวีซ่าของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กับประเทศ ควรจะต้องออกมาชี้แจงหรือจะมีผลต่อการเจรจาหรือไม่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอดอยู่แล้วว่าการดำเนินการในเรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ซึ่งการที่ทางสหรัฐอเมริกามีการแบนวีซ่าตัวแทนของไทยที่อยู่ในระดับแกนนำรัฐบาลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าอาจเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราแสดงข้อเป็นห่วงมาโดยตลอด
เรื่องนี้ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องควรออกมาแสดงความชัดเจนมากขึ้นทั้งในเรื่องกรอบการเจรจาหรือวันในการเจรจาว่าแท้จริงแล้วเรามีความพร้อมมากแค่ไหน
หัวหน้าพรรคประชาชน ยังกล่าวว่า อีกหนึ่งประเด็นสำคัญไม่แพ้กันคืออำนาจการต่อรองของเราในส่วนของสินค้าต่างๆมาตรการ ที่ต้องเตรียมพร้อมเกี่ยวกับมาตรการไทยสหรัฐหรือประเทศคู่ค้าอื่นๆ
รวมถึงกรอบในเรื่องของการรับมือกับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเช่นเรื่องของการนำเข้าข้าวโพดเป็นต้น รวมถึงกรอบในเรื่องของการเยียวยาอุตสาหกรรมซัพพลายเชนต่างๆที่อาจต้องมีการย้ายฐานการผลิตรวมถึงแผนในการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นการเสริมสร้างจุดแข็งของประเทศไทยในอนาคต
“ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกรอบการเจรจาในเรื่องของการกระชับความสัมพันธ์ในเรื่องของการรับมือในเรื่องของการเยียวยาและการลงทุนในอนาคตคิดว่าเป็น5กรอบสำคัญที่รัฐบาลควรมีความชัดเจนมากกว่านี้ ”
เมื่อถามว่า เวียดนามได้คิวเจรจาแล้วเห็นด้วยกับแนวทางที่ควรมัดรวมอาเซียนแล้วไปเจรจากับสหรัฐหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า การเจรจาก็คงมีหลายระดับพหุภาคีกับสหรัฐอเมริกาก็มีส่วนสำคัญ แต่ขณะเดียวกันการเจรจาในระดับภูมิภาคหรือหลายหลายประเทศร่วมกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เราจะเห็นได้ชัดกรณีของจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่3ประเทศนี้เริ่มมีการพูดคุยกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่กรอบการพิจารณาของอาเซียนต้องมีการพิจารณาเรื่องนี้โดยไทยถือว่ามี จุดแข็งในแง่ของภูมิศาสตร์ในประเทศกลุ่มอาเซียนฉะนั้นไม่ควรจะทิ้งบทบาทในส่วนนี้เช่นเดียวกัน