ทรัมป์จำเป็นต้องแผ่วเพราะความกดดันภายในสหรัฐ

เสียงประท้วงจากชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างใด ต่อการบริหารของทรัมป์ 2.0 เริ่มส่งผลให้นโยบายปรับเปลี่ยน นอกจากการประท้วงแทบทุกรัฐในหลายสัปดาห์ติดต่อกัน และการประณามนักการเมืองฝ่ายรีพับลิกัน เมื่อไปพบปะกับประชาชนในท้องถิ่น ทำให้ทีมทรัมป์อาจไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า การประนีประนอมนโยบายสุดโต่งทั้งต่างประเทศ และในประเทศ
ขณะที่ทั่วโลกกำลังเตรียมตัวรับมือกับความแข็งกร้าวของสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะเรื่องภาษีศุลกากรซึ่งอเมริกาเป็นลูกค้าใหญ่อันดับหนึ่งของโลก คำประกาศออกจากทำเนียบขาวซึ่งเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เกิดความสับสนทุกฝ่าย กลายเป็นการวิกฤติแห่งความเชื่อถือ และความเสื่อมทีละน้อยของแบรนด์ยูเอสเอ
หลายประเทศใช้วิธีนิ่งเฉยรอดูท่าที เป็นการกดดันให้ปัญหาภายในอเมริกาบีบบังคับเอง ขณะที่บางประเทศจำเป็นดิ้นรนแสดงท่าทีเพื่อประนีประนอม และหาข้อตกลงเพื่อความอยู่รอดของเศรษฐกิจอย่างน้อยก็เป็นการชั่วคราว
ทรัมป์ และบุคคลใกล้ชิดแย้มว่าอาจมีการเจรจาสำเร็จในเร็ววันนี้ และจะเป็นแม่แบบให้อีกหลายประเทศใช้เป็นแนวทาง ซึ่งมีข่าวลือว่าอาจจะเป็นดีลกับเกาหลีใต้หรืออินเดีย
แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนคือ การประกาศสู้จนวาระสุดท้ายของจีนซึ่งแสดงความแน่วแน่ในการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
ขณะที่กลุ่มประชาคมยุโรปที่กำลังกดดันอเมริกาด้วยการซื้อเวลาเพื่อหวังให้ทีมทรัมป์อ่อนแรงก่อน
ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าอัตราภาษีศุลกากรที่ประกาศไว้สูงมากเป็นประวัติศาสตร์นั้นคงเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านไปแล้ว และคงไม่หวนกลับมาอีก
ถึงแม้ว่าเวลาในการเจรจา 90 วันจะหมดไปภายในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ.2025 ก็คาดว่าอัตราภาษีศุลกากรประมาณ 10% น่าจะเป็นทางออกที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด
โอกาสจะลดลงมาต่ำกว่านั้นคงเป็นไปได้ยากเนื่องจากเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีทางการเมืองซึ่งทรัมป์ได้ประกาศย้ำแล้วย้ำอีกต่อฐานเสียง MAGA ผู้ที่จงรักภักดีต่อเขา
เสียงประท้วงจากชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างใด ต่อการบริหารของทรัมป์ 2.0 เริ่มส่งผลให้นโยบายปรับเปลี่ยน นอกจากการประท้วงแทบทุกรัฐในหลายสัปดาห์ติดต่อกัน และการประณามนักการเมืองฝ่ายรีพับลิกันเมื่อไปพบปะกับประชาชนในท้องถิ่น ทำให้ทีมทรัมป์อาจไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าการประนีประนอมนโยบายสุดโต่งทั้งต่างประเทศ และในประเทศ
CEOs ของสามบริษัทใหญ่คือ Walmart, Target and Home Depot ส่งสัญญาณเตือนภัยด่วนถึงทำเนียบขาวว่าสินค้าจะขาดตลาดภายในเดือนพฤษภาคม การท่าเรือแจ้งว่าปริมาณขนส่งลดลง 33% ในเดือนเมษายน และคาดว่าจะลงไปอีกถึง 44% ในเดือนพฤษภาคม บริษัทรถบรรทุกแจ้งว่าอาจจะต้องปลดพนักงานลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานกำลังเผชิญวิกฤติคล้ายช่วงโควิด ดัชนีหุ้นของตลาดอเมริกาโดยเฉลี่ยหดหายไปประมาณ 10% ตั้งแต่ผู้บริหารชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งทำให้เช้ามากันหลายล้านคนวิตกกังวลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง และเลื่อนการตัดสินใจในการใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทรัมป์ให้ความสำคัญ และกลัวที่สุดคือ ความนิยมของชาวอเมริกัน โพลต่างๆ ที่ออกมาล่าสุด ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลอเมริกันกำลังเดินในทางผิดผลงานแย่ใน100 วันแรกจนทำให้คะแนนนิยมตกต่ำเป็นประวัติศาสตร์
หากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกลัวว่าจะแพ้การเลือกตั้งครั้งต่อไปเนื่องจากนโยบายของทำเนียบขาวก็จะเลิกกลัวต่ออิทธิพลของทรัมป์ และจะเปลี่ยนท่าทีจากสนับสนุนแบบทุ่มสุดตัวไปเป็นการต่อต้าน และตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารในที่สุด
Reuters/Ipsos poll แสดงว่ามีเพียง 37% ของชาวอเมริกันที่เห็นด้วยกับการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์
Pew Research Center poll พบว่าคะแนนความนิยมโดยรวมของทรัมป์ลดลงเหลือ 40% ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของเขาลดลงเหลือ 45%
Fox News Poll พบว่า 55% ของชาวอเมริกันไม่เห็นด้วยกับ ผลงานของทรัมป์ และ 51% เชื่อว่านโยบายปัจจุบันทำให้ประเทศเสียหาย
เมื่อสอบถามเรื่องที่ Elon Musk ได้รับมอบหมายให้ใช้ Dept. of Govt. Efficiency (DOGE) เข้าไปสะสางตรวจสอบ และตัดงบประมาณของระบบรัฐบาลกลางในปัจจุบัน 56% ของอเมริกันไม่เห็นด้วย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นที่ล้มเหลว และเต็มไปด้วยความขัดแย้งในกลุ่มของผู้บริหารที่อยู่รอบข้างประธานาธิบดีซึ่งประกาศความแข็งกร้าวว่าจะทำทุกอย่างที่ตั้งใจไว้โดยที่ไม่พลาดโอกาสเช่นในสมัยแรกเพราะถูกขัดขวางโดยกลุ่มผลประโยชน์ และระบบการบริหารแบบเดิม
สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปคือ กลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2026 แต่ช่วงเวลาที่สำคัญมากคือ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2026 ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกว่าใครจะได้เป็นผู้แทนของพรรคการเมือง (primary election) นักการเมืองของทั้งสองพรรคทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม และเสรีนิยมกำลังติดตามกระแสความนิยมของประชาชนเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส และเสียอนาคตของตนเองทางการเมืองในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
สิ่งที่ควรจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ “การใช้ความขัดแย้งนอกสหรัฐ เป็นเครื่องมือปลุกความรักชาติซึ่งเป็นเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจในประเทศ” ซึ่งอาจมาจากการที่เจรจาหยุดยิงหรือหาข้อตกลงเพื่อสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน หรือข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับอิหร่านเรื่องควบคุมการพัฒนานิวเคลียร์ หรือแม้กระทั่งจุดล่อแหลมในทะเลจีนใต้หรือช่องแคบไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างเฉียบพลัน และทำให้ระบบการขนส่งข่าวมหาสมุทรหยุดชะงักนำมาสู่การขาดแคนสินค้า และทำให้ราคาสูงขึ้น
ทีมไทยแลนด์ที่เลื่อนการเจรจากับสหรัฐออกไปนั้นอาจมีเวลาเตรียมตัวเพิ่มขึ้นแต่ไม่ควรประมาท เนื่องจากทรัมป์อาจเปลี่ยนใจออกคำสั่งแบบช็อกโลกอีก
การที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าต่อสหรัฐอยู่ในระดับท็อปเทนก็ไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ จึงควรหาวิธีติดต่อเพื่อเจรจารายละเอียดต่างๆให้ได้ข้อตกลงใกล้เคียงกับอัตรา 10% มากที่สุด และถึงแม้ว่าขณะนี้ทางฝ่ายอเมริกาจะดูเหมือนไม่พร้อมเนื่องจากผู้แทนการค้า (USTR) ก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้นำประเทศจะเอาอย่างไรแน่ แต่ความกระตือรือร้นของไทยจะช่วยเรื่องจิตวิทยาเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐแบบยั่งยืนได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์