ร้องศาลฯขังซ้ำ 'ทักษิณ' สองนักกฎหมายเห็นต่าง

ร้องศาลฯขังซ้ำ 'ทักษิณ' สองนักกฎหมายเห็นต่าง

พลันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดี กรณีมีผู้ร้องให้ไต่สวนคำร้อง เพื่อนำ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมารับโทษ เนื่องจากไม่ได้ถูกคุมขังจริง(คดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ) ในวันที่ 30 เมษายนนี้

หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มเคลื่อนไหว “ต่อต้านทักษิณ” ต่างได้ลุ้นกันตัวโก่ง เพราะเชื่อว่า ศาลฯจะต้องมีคำสั่งตามคำร้องอย่างแน่นอน

 ทั้งนี้ มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ว่าในวันที่ 30 เมษายน เวลา 13.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัด ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟังคำสั่งในคำร้องที่ “ชาญชัย” ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568

เพื่อขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล

ซึ่ง “ชาญชัย” เห็นว่า การกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 มาตรา 89/2 (1) (2) และมาตรา 246 และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 25 กันยายน 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

เรื่องนี้ “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ให้ความเห็นเชิงหลักการกับ “ไทยโพสต์”(25 เม.ย.68) ว่า กรณีนี้ต้องแยกประเด็นให้ชัดว่า หาก กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการบังคับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาลงโทษซ้ำได้อีกตามหลักการกฎหมายสากลที่ว่า “การกระทำเดียวกัน ห้ามลงโทษซ้ำสองครั้ง”

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า แม้ “ชาญชัย” จะอ้างว่า การนำตัวออกจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้รับอนุญาตจากศาล แต่การควบคุมตัวภายในโรงพยาบาล มี เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุม 24 ชั่วโมง โดยจำกัดพื้นที่อย่างชัดเจน ถือว่าเข้าเกณฑ์ “สถานที่คุมขัง” ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์

นอกจากนี้ ยังไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่า หากนำผู้ต้องขังออกไปรักษานอกเรือนจำ จะต้อง “หยุดนับวัน” ในการรับโทษ จึงถือว่า การบังคับโทษยังดำเนินต่อเนื่องตามปกติ และเมื่อเข้าเงื่อนไขพักโทษ ก็เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ที่ดำเนินการได้ตามกฎหมาย

ดร.ณัฏฐ์ ย้ำว่า หากมีข้อบกพร่องในกระบวนการของ กรมราชทัณฑ์ หรือ กระทรวงยุติธรรม หน่วยงานที่ต้องรับผิดคือฝ่ายปฏิบัติ ไม่ใช่การกลับไปลงโทษตัวผู้ต้องขังซ้ำอีก

 “หากทำแบบนั้น ประชาชนจะสับสน และเข้าใจผิดว่า การกระทำเดียวกัน สามารถถูกลงโทษหลายครั้ง ทั้งที่ไม่ใช่หลักการของกระบวนการยุติธรรม”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน The Publisher สำนักข่าวออนไลน์ เคยสัมภาษณ์ แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย เอาไว้หลายประเด็น ทั้งเรื่องข้าราชการทุจริตต่อหน้าที่ในสำนวนที่ “ป.ป.ช.” กำลังทำคดีนี้ และเรื่องคำร้องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนเพื่อนำ “ทักษิณ” กลับมาขังใหม่ (19 ธันวาคม 2567) ในที่นี้ขอโฟกัสไปที่ คำร้องขอให้ศาลฯไต่สวนเพื่อนำ “ทักษิณ” กลับมาขังใหม่

ร้องศาลฯขังซ้ำ \'ทักษิณ\' สองนักกฎหมายเห็นต่าง

 “The Publisher: กรณี นักโทษชั้น 14 การยื่นตรงที่ศาลเนื่องจากยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร?

แก้วสรร อติโพธิ: ต้องเข้าใจว่า มันแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือ ช่วยคุณทักษิณไม่ต้องติดคุกหรือไม่ โดยทุจริตหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องกล่าวหานาย ก. นาย ข. อาจจะกล่าวหาผบ.เรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตำรวจอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นเรื่องต้องไต่สวนให้ศาลปกติธรรมดาต้องตัดสินในคดีว่า มีการคอร์รัปชันไหม ติดคุกไหม ส่วนปัญหาว่า หมายขังออกมาแล้ว พอไม่มีการขังจริงตามที่ศาลออกหมายมา อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 ในเรื่องของ ป.ป.ช. ทาง ป.ป.ช. ตัดสินอาจจะบอกว่า โอเค ไม่มีการทุจริต ถ้าเป็นเรื่องแบบนั้นก็จะพ้นโทษ ถามว่า ถ้ามันขังไม่ถูก ถึงแม้ทางฝั่งทุจริตจะมีมากหรือน้อยก็ต้องแล้วแต่ แต่หมายขังมันไม่มีการปฏิบัติตาม ตรงนี้ไม่ต้องไปรอคดี ป.ป.ช. เลย เป็นอีกปัญหาหนึ่งต่างหาก ตรงนี้อำนาจอยู่ที่ศาล ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาการเมืองซึ่งเป็นคนออกหมายขัง 1 ปี ถ้ามันไม่มีการขังจริงตามที่กำหนด มันก็ต้องออกหมายใหม่โดยศาลฎีกา

แต่ถามว่า เรื่องนี้ศาลหยิบขึ้นมาเองได้ไหม ผมคิดว่าได้ เป็นอำนาจที่ท่านต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว หรือโดยมีผู้ร้อง แล้วก็ชี้ช่อง ทางนี้คุณชาญชัย อดีต ส.ส.นครนายก ก็จ้องจะร้องศาลอยู่ งั้นถ้าคุณชาญชัยร้องศาล แล้ว ประสานเรียกหมายในสำนวนคดี ป.ป.ช. มาดู ก็จะพบได้ว่าหมายมีการขังจริงหรือไม่จริง

แล้วก็อีกช่องทางหนึ่งก็คือ โดยตัวราชทัณฑ์เป็นตัวร้องศาลขอหมายออกใหม่หน่อย มันไม่มีการขังที่ถูกต้อง เพราะงั้นก็สรุปว่า การจะให้คุณทักษิณกลับมาติดคุกอีกมันไม่มีการขังที่ถูกต้อง ตรงนี้ทำได้โดยไม่ต้องรอผล ป.ป.ช. มันขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าไปถึงศาลได้อย่างไร ซึ่งก็มี 3 ช่องทางตามที่ผมเรียน 1.ศาลเห็นเอง 2.มีผู้ร้อง 3.โดยกรมราชทัณฑ์ร้องเอง

The Publisher: ที่กล่าวมาข้างต้นเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?

แก้วสรร อติโพธิ: ไม่เคยเห็นนะ ไม่เคยได้ยิน แต่มันมีระเบียบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาการเมืองอยู่มั้ง เพราะถ้ามีการรักษาพยาบาลต้องมีการรายงานให้ศาลทราบ

 The Publisher: หากเป็นแบบนี้เท่ากับว่าที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ไม่ได้ดำเนินการตามระบบระเบียบที่ถูกต้อง?

 แก้วสรร อติโพธิ: ถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็อย่างนั้น เท่าที่ฟังมาทั้งที่กรรมาธิการสอบ ทั้งที่ ป.ป.ช. พิจารณาอยู่ มันไม่ได้มีการทำตามขั้นตอนเลย หลักฐานการเจ็บป่วยอย่างไรก็ไม่ยอมให้ พวกเรามีปากคำพยานบุคคล คุณเสรี(พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส) ยืนยันด้วยตาว่า “ไม่ป่วย” มีพยานบุคคลที่ไปใช้อ้างได้ เพราะงั้นถ้าไม่ป่วยก็แสดงว่ามีหลักฐานโดยถูกต้อง ถ้าป่วยจริงก็ไม่เป็นไรถือว่ามีหลักฐานโดยโรงพยาบาล แต่นี่เมื่อไม่ป่วยจริง ไม่ได้มีการขังตามหมายศาลต้องอาศัยหมายศาลออกมาใหม่แล้วก็กลับเข้าคุกใหม่

 ประเด็นคือ คนเขาสงสัยกันว่าคดีทุจริตกว่าศาลจะตัดสิน นานไหม ก็เป็นปีกว่าจะถึงศาลฎีกา อันนั้นก็เป็นเรื่องคดี คนทุจริตไหม ถามว่าขังถูกหรือผิด มีการขังจริงไหม ถ้าไม่มีจริงก็ไม่ต้องไปรอผลเรื่องทุจริตเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไปถึงศาลแล้วก็ให้ศาลออกหมายแล้วก็กลับเข้าคุกทำได้ไม่ต้องรอกัน

The Publisher: คุณชาญชัยเตรียมที่จะไปร้อง หมายถึงว่าใครก็ไปร้องได้ หรือจำเป็นต้องเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรในทางคดีอะไรเป็นเงื่อนไขด้วยหรือเปล่า?

 แก้วสรร อติโพธิ: ไม่มี มันเป็นอำนาจของศาลอยู่แล้ว วันนี้ทางที่เป็นทางการจริงๆ หรือกรมราชทัณฑ์ ท่านต้องเป็นคนร้องศาลจริงว่าไม่มีการขัง ขอให้ศาลออกใหม่จริง แต่กรมราชทัณฑ์บอกว่า ต้องรอคดีทุจริตก่อนอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็บอกว่า กรมราชทัณฑ์คิดผิด คำอธิบายแบบนั้นใช้ไม่ได้ เรื่องของการทุจริตหรือไม่ อาจจะเข้าใจกฎหมายผิดก็ได้ วินิจฉัยโรคผิดก็ได้ แล้วก็หลุดคดีไปก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อไม่มีการขังตามกฎหมาย มันก็ต้องเอากลับเข้าไปอีกเรื่องหนึ่ง

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า ข้างบ้านผมไปขออนุญาตสร้างอาคารสูง 10 ชั้นซึ่งมันผิดกฎหมายเพราะซอยมันแคบผมเป็นคนเสียหายเพราะบังแดดบังลมผม ผมก็ไปร้อง ป.ป.ช. ก็กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่เขตทุจริต รับสินบนจากผู้ขออนุญาต ทางเจ้าหน้าที่เขตก็ต่อสู้ว่ากฎหมายให้ผมตีความอย่างนี้ ผมสุจริต ผมไม่ได้รับตังค์ ก็เถียงไป แต่ในที่สุดชัดเจนว่า ตึกแบบนี้สร้างไม่ได้ เจ้าหน้าที่เขตจะติดคุกหรือไม่ คดีตัดสินว่ายังไงไม่เกี่ยว ให้เพิกถอนใบอนุญาตสร้างอาคารได้เลย ไม่ต้องรอกันไม่เกี่ยวคนละเรื่อง เพราะงั้นเรื่องใบอนุญาตออกถูกหรือผิด กับคนที่ออกโดยไม่ถูกต้องทุจริตหรือไม่ มันคนละประเด็น คนละศาล คนละเรื่อง

ในทำนองเดียวกัน การขังตามหมายเกิดขึ้นหรือไม่ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนที่ดูแลเรือนจำทุจริต ปล่อยออกมาหรือไม่ อันนี้ก็อีกเรื่อง คนละคดีไม่ต้องรอกัน เพราะงั้นราชทัณฑ์ถ้าชัดเจน ถ้าผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรม แล้วหลักฐานมันชัดเจน สอบสวนได้ชัดเจนว่ามันไม่มีการรักษาโรคอะไรเลย ฝากเข้าเรือนจำแล้วก็ไปโรงพยาบาลตำรวจนอนเล่นอย่างกับโรงแรม ถ้าเป็นแบบนั้นผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ผมจะสั่งราชทัณฑ์เลยบอกว่าไปขอหมายศาลเดี๋ยวนี้ ขอหมายใหม่เลยจับคุณทักษิณเข้าคุก อันนี้คือหน้าที่เลยแหละ แต่ถ้าไม่ทำก็แน่นอนนั่งยิ้มไปเดี๋ยวก็โดนละเว้น 157...”

 สำหรับคำร้องของ “ชาญชัย” เกี่ยวกับเรื่องนี้ เคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา และศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้ง 2 เรื่องโดยไม่ต้องไต่สวน โดยให้เหตุว่า เมื่อศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล จึงไม่ต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง

 ต่อมา “ชาญชัย” จึงยื่นคำร้องอีกเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งเดิม และขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด และศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 30 เมษายน 2568

แน่นอน, เมื่อความเห็นนักกฎหมาย ซึ่งถือว่า เชี่ยวชาญข้อกฎหมาย และได้รับการยอมรับทั้งสองคน ยังมีมุมมองต่อเรื่องเดียวกัน ไปคนละมุม

นับประสาอะไร กองหนุน คนถือหางแต่ละฝ่าย ไม่ว่า ฝ่ายสนับสนุน “ทักษิณ” หรือ ฝ่ายต่อต้าน “ทักษิณ” ก็มีสิทธิ์ลุ้น “ออกหัว-ออกก้อย” เช่นกัน

 เหนืออื่นใด คำตัดสินอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีความเห็นต่อคดีอย่างไร และในวันที่ 30 เมษายนนี้จะได้รู้กัน