คดี 'ฮั้ว สว.' โยง ‘3 รมต.- บิ๊กเนม’ ดีเอสไอสรุป 5 ปม ข้อมูลลับพยาน

คดี 'ฮั้ว สว.' โยง ‘3 รมต.- บิ๊กเนม’ ดีเอสไอสรุป 5 ปม ข้อมูลลับพยาน ผู้บงการเลือก สว. พยานแฉ "นักการเมือง - เจ้าหน้าที่ร่วมขบวนการ พร้อมหลักฐานโอนเงิน
KEY
POINTS
- ปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ จำลองเหตุการณ์เสมือนจริง การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกมรุกคืบ ทลายแหล่งอำนาจ “เครือข่ายสีน้ำเงิน”
- ผลสอบเบื้องต้น "ดีเอสไอ" สรุป 5 ปมหลัก เชื่อมโยงบุคคล กลุ่มบุคคล เส้นทางเงิน โยงใยไปยังผู้มีอำนาจ
- “พยานหลายคน” ให้ข้อมูลกับดี
ปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จำลองเหตุการณ์เสมือนจริง การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคล หรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. คดีพิเศษที่ 24/2568 กำลังรุกคืบ ทลายแหล่งอำนาจ “เครือข่ายสีน้ำเงิน”
ยิ่งบรรยากาศของ “ขั้วพรรคร่วมรัฐบาล” อยู่ในช่วงเขม็งเกลียว “เพื่อไทย” เปิดศึกวัดกำลังกับ “ภูมิใจไทย” จนมี “บิ๊กเนมการเมือง” หวังพลิกกระดาน จัดแจงปล่อยข่าวปรับคณะรัฐมนตรี ปล่อยสูตรเขี่ย “ภูมิใจไทย” ออกจากรัฐบาลแพทองธาร
แม้ตัวเลข สส.ขั้วรัฐบาลใหม่ ในสูตรไร้ 69 เสียงของ“ภูมิใจไทย” จะเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. 494 เสียง แต่อยู่ในสภาพปริ่มน้ำอย่างมาก ทำให้ “บิ๊กเพื่อไทย” จำเป็นต้องรอจังหวะให้คดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ยื่นญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งอยู่ในมือของคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถูกตัดสิน ว่าจะชี้มูลความผิดหรือไม่
หากคดีดังกล่าว ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล จากนั้นจะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จะสั่งให้ 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล (ปัจจุบันเป็น สส.พรรคประชาชน 25 คน) ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
หากศาลฎีกาสั่งให้ 25 สส.พรรคประชาชน หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้จำนวน สส.ในสภาฯ เหลือ 469 เสียง จำนวนกึ่งหนึ่งของ สส. ทั้งหมดจะเหลือ 235 เสียง การบริการจัดการเสียงในสภาฯ ย่อมง่ายลงทันที
ว่ากันว่า ป.ป.ช. สอบสวนคดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล คืบหน้าไปพอสมควร โดยคาดการณ์กันว่า ในช่วงกลางปี 2568 นี้ หรือในช่วงไตรมาส 3 อาจจะมีบทสรุปออกมา
ขณะเดียวกันขุมพลัง “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่ฝังอยู่กับ “สว.สีน้ำเงิน” ก็กำลังถูกรุกไล่ จากการสอบสวนขบวนการ “ฮั้วเลือก สว.” โดยดีเอสไอ ซึ่งเป็นปฏิบัติการเดิมพันสูงลิบของ “เครือข่ายสีแดง” เช่นกัน
พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยทีมสอบสวน จำลองเหตุการณ์การเลือก สว.เสมือนจริง โดยมี พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว สว.สำรอง ลำดับ 2 กลุ่มกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม เล่านาทีเหตุการณ์พิรุธ ชี้จุดโพยฮั้ว
พล.ต.ท.คำรบ ระบุว่า การเลือกภาคเช้า ซึ่งเป็นการเลือกรอบแรก ยังไม่มีอะไรผิดสังเกต มีเพียงข้อสงสัยในช่วงขานหมายเลขผู้ได้รับคะแนน จำนวน 10 หมายเลขซ้ำๆ กัน โดยได้คะแนน 20-30 คะแนน เพราะการจะได้คะแนน 14-15 คะแนน เป็นเรื่องยากมาก
"หลังเสร็จสิ้นการเลือกรอบแรก เมื่อตัวแทนผู้สมัครผ่านเข้ารอบไปจับสลากเพื่อเลือกสาย ก ข ค หรือ สาย ง (1 สาย มี 5 กลุ่ม) ระหว่างที่ประกาศว่า ใครอยู่สายไหนเสร็จ จะมีสิ่งผิดสังเกต เนื่องจากพอรู้ว่า ตัวเองอยู่สายไหน เราทราบว่า โพยที่ว่า เขาแอบจดลงในสมุด หลังใบแนะนำตัว (สว.3)"
“พอรู้ว่าอยู่สายไหน เขาก็เริ่มจะเอาสมุด สว.3 มาจดโพย พอเขารู้ว่าอยู่สายไหน เขาจำเป็นต้องใช้แค่ 5 กลุ่ม ที่จะต้องอยู่ในสายนั้นๆ ก็เริ่มเอาโพยมาลอกกัน เมื่อลอกกันเสร็จ กลับมีคนโวยวายว่า มีคนเอาโพยมาลอก จึงมีการร้องไปยังกรรมการจัดการเลือก ทำให้ช่วงบ่ายกรรมการห้ามเอาสมุด สว.3 เข้า เมื่อห้ามเอาเข้ามา ยิ่งโกลาหลเข้าไปอีก บางคนฉีกสมุด สว.3 บางคนแอบจดใหม่”
"เมื่อได้เวลาเลือกรอบไขว้ ประมาณ 19.00 - 20.00 น. กรรมการให้ทุกคนเก็บทรัพย์สินส่วนตัวไว้ในล็อกเกอร์ เดินตัวเปล่า มาที่กลุ่มของเอง โดยจะมีการแจกสมุด สว.3 ชุดใหม่ให้ ระหว่างที่นั่งรอกว่า 1 ชั่วโมง มีข้อผิดสังเกต เพราะแต่ละคนแอบเอาโพยใส่มา ทำเครื่องหมายกับสมุด สว.3 เล่มใหม่ จากนั้นหย่อนบัตรเสร็จ ต่อด้วยนับคะแนน คะแนนที่ออกมา มีซ้ำๆ กัน กลุ่มอื่นก็เช่นกัน"
“เมื่อถึงช่วงเวลา 01.00 - 02.00 น. ผู้สมัครได้รวมกลุ่มกัน เพื่อไปร้องเรียน โดยนับคะแนนเสร็จสิ้นประมาณ 05.00 น. - 06.00 น. ซึ่งพบว่า หีบบัตรกลุ่มที่ 19 ยังมีซ้ำๆ กันแบบเดิม จึงได้ถ่ายภาพเก็บไว้ 8 - 9 ใบ เป็นที่มาของการที่บอกว่า มีการลงคะแนนซ้ำกัน โดยมีการประกาศว่า ผู้สมัครคนใดได้คะแนน 10 คนแรก และสำรอง 5 คน”
การจำลองเหตุการณ์เสมือนจึง ผ่านพยานปากเอกอย่าง “พล.ต.ท.คำรบ" ที่ฉายหนังตัวอย่าง การสอบสวนของดีเอสไอ จึงเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน “อธิบดี ดีเอสไอ” ย้ำด้วยว่า จะใช้เทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์ภาพรวม การเดิน กิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เห็นว่า ใครมีพฤติกรรม พฤติการณ์อย่างไร สอดคล้องกับพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ การโอนเงิน จึงจะสามารถทำให้ฟังได้ว่า มีน้ำหนักมากขึ้นในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
พ.ต.อ.ยุทธนา ระบุว่า “เบื้องต้นเราพบว่า มีการโชว์บัตรคะแนน ซึ่งสอดคล้องกับโพยที่เราพบ ว่ามีการกาตรงกัน ซึ่งผู้กล่าวหานำมาให้ ที่พบจากห้องน้ำ ที่พบจากอะไร เราต้องใช้สูตรมาคำนวณวิเคราะห์อีกที และมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มบุคคล ให้ได้มาซึ่ง สว.โดยสุจริต เที่ยงธรรมหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้รวบรวมพยาน หลักฐาน ทั้งหมดไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง โดยสามารถสรุปการสอบ “ฮั้ว สว.” ใน 5 ปม ประกอบด้วย
1. ขั้นตอนการวางแผนเบื้องต้น โดยเลือกใช้จังหวัดเล็กที่มีฐานเสียงแน่น และการแข่งขันน้อย ก่อนจะจัดเตรียมคนสมัครจากทุกกลุ่มอาชีพ (20 กลุ่ม) ในทุกอำเภอ โดยมีรายชื่อ สว.เป้าหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว
สำหรับเงินสนับสนุนปฏิบัติการ ประมาณ 500 ล้านบาท แยกให้ผู้สมัครระดับอำเภอคนละ 15,000 บาท (ค่าสมัคร 2,500 ที่เหลือเป็นค่าตอบแทน) ผู้สมัครบางคนถูกหักค่าตัว และทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือ” ไม่ได้หวังตำแหน่ง สว.
2. การคัดเลือกและการเงิน โดยจัดทำโพยฮั้วให้มี “กลุ่มพลีชีพ” เลือกเป้าหมายแรกคือ สว. 140 คน แต่สุดท้ายได้ถึง 138 คน และสำรองอีก 2 ทั้งนี้ “กลุ่มพลีชีพ” คนที่หลุดจากรอบอำเภอไปสู่รอบจังหวัดได้ 50,000 บาท และหากเข้ารอบประเทศได้เพิ่มอีก 100,000 บาท จ่ายเงินสดล่วงหน้า 20,000 บาท ที่เหลือจ่ายภายหลังเลือกเสร็จ
3. การดำเนินการระดับประเทศ มีการนำผู้สมัครมาพักโรงแรมที่อยู่นอก กทม. เพื่อหลบการตรวจสอบ โดยมีการซักซ้อมเลือก โดยให้เขียนเบอร์ผู้สมัครเป้าหมายในแบบฟอร์ม สว.3 แล้วนำเข้าไปในคูหา แต่เมื่อมีการสั่งห้ามนำแบบฟอร์มเข้าคูหา ก็เปลี่ยนวิธี เป็นเขียนด้วยลายมือ หรือแอบนำเข้าไป โดยมีการเงินจ่ายให้ผู้สมัครที่ถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” อีก 80,000 บาท ภายหลังเลือกเสร็จ
4. ความเกี่ยวข้องของผู้มีอำนาจ มี “นายใหญ่ค่ายน้ำเงิน" เป็นผู้นำ และวางแผนทั้งหมด มีการประชุมย่อยเกี่ยวกับการควบคุม สว. และการจ่ายเงิน หลายครั้ง
5. ผลลัพธ์ ซึ่งได้ สว. ตามเป้า 138 คน “นายใหญ่ค่ายน้ำเงิน” เป็นผู้คิดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในวุฒิสภา เช่น ประธาน รองประธาน กรรมาธิการ การแต่งตั้งผู้ช่วยของ สว. ก็มีการควบคุมด้วยเช่นกัน
สำหรับการดำเนินการอย่างเป็นขบวนการ ทั้งหมดมี “พยานหลายคน” ให้ข้อมูลกับดีเอสไอ ระบุว่า มี “3 รัฐมนตรี” และ “1 ผู้นำ” คอยกำกับการเกือบทุกขั้นตอน และพบ “เจ้าหน้าที่ กกต.” มีส่วนร่วมด้วย โดยเฉพาะขั้นตอนการนำโพยเข้าคูหา หรือจดใส่มือ ก่อนเผาทำลายโพยในภายหลัง
ทั้งหมดคือ ความคืบหน้าในปฏิบัติการของดีเอสไอ สอดรับกับภารกิจของ “เครือข่ายสีแดง” ที่ต้องการล้มกระดานอำนาจของ “สว.สีน้ำเงิน” ก่อนต่อยอด สอย “ภูมิใจไทย” พ้นพรรคร่วมรัฐบาล
ทว่า “บิ๊กสีแดง” ต้องคำนวณทิศทาง สภาพดิน ฟ้า อากาศ อย่างรอบคอบเพราะสัญญาณจาก “คนพิเศษ” มีหลายสาย บางสายของจริง บางสายของของเก๊ทำเหมือนกลเกมการเมืองทุกจังหวะก้าวจึงเต็มไปด้วยภัยอันตราย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์