พีซีซีแจงดีเอสไอปมสัญญาสร้าง369โรงพัก

พีซีซีแจงละเอียดยิบ ปัดไม่ได้ทำผิดสัญญาสร้าง 369 โรงพักฉาว ชี้เหตุงานก่อสร้างล่าช้าเพราะสตช.ไม่ส่งมอบพื้นที่โรงพัก 200 แห่ง
นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล นายจาตุรงค์ อุดมสิทธิกุล และ นายวิศณุ วิเศษสิงห์ ผู้บริหารบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ใน 2 ข้อหาคือฉ้อโกงผู้รับเหมาและความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) ด้วยการเสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยผู้ต้องหาพร้อมทนายความได้นำเอกสารหลักฐานเข้าชี้แจงรวม 14 รายการ ทั้งงบดุลของบริษัทและผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงการ ซึ่งมีพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหา
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสอบสวนในส่วนของเงินที่มีการเบิกจ่ายให้บริษัทพีซีซี โดยได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินไปตรวจสอบที่ธนาคารออมสิน สาขาช้างเผือก เบื้องต้นพบมีข้อพิรุธเนื่องจากมีการเบิกเงินแต่ไม่ได้นำไปใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน แต่นำไปใช้ในงานส่วนอื่นของบริษัท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบลงรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและนัดส่งเอกสารเพิ่มเติมตามที่ดีเอสไอร้องขอภายใน 7 วัน
ขณะที่นายพิบูลย์ เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมงโดยระบุว่าได้รับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 2 ข้อแต่ยังมีเอกสารบางส่วนที่ต้องนำมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นการฮั้วประมูล ซึ่งไม่ได้เตรียมเอกสารชี้แจงมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้เป็นไปตามที่มีการกล่าวหาอยู่ และพร้อมจะแก้ไขส่วนที่เป็นปัญหา ซึ่งการก่อสร้างที่ล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเกิดจากปัญหาของผู้ว่าจ้างที่ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งเรื่องการส่งมอบงาน การควบคุมงาน การตรวจรับงาน ซึ่งใช้เวลานานเนื่องจากเป็นงานของทางราชการ จึงมีขั้นตอนมากกว่าการรับงานของเอกชน ซึ่งยืนยันว่าบริษัทมีศักยภาพในการรับงานใหญ่ เนื่องจากเป็นบริษัทก่อสร้างที่มีผลงานมากว่า 40 ปี มีบริษัทในเครือ 12 บริษัท มีมูลค่า 4,000 - 5,000 บาท
ส่วนกรณีที่บริษัทขาดสภาพคล่องจนไม่มีเงินไปจ่ายเป็นค่าแรงงานให้ผู้รับรับเหมาก่อสร้างนั้น เนื่องจากในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทไม่สามารถเบิกเงินค่างวดงานจาก สตช.ได้ เพราะอยู่ในช่วงแต่งตั้งโยกย้าย จึงยืนยันว่าไม่มีการฉ้อโกงค่าแรงงานตามที่ถูกดีเอสไอแจ้งข้อหา
"ในส่วนของการจ้างช่วงนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วงแต่การบริหารแรงงาน เป็นเพียงการจ้างแรงงานซึ่งไม่ถือว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างรับทราบ ซึ่งการจ้างช่วงสามารถกระทำได้หากคู่สัญญายินยอม มีการแจ้งให้ สตช.รับทราบ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง แต่เป็นเพียงการจ้างแรงงาน โดยบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบจัดส่งวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง รวมถึงเสาเข็ม และบริษัทเป็นผู้ทำบัญชีเสียภาษีให้กับแรงงานทั้งหมดซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า ขณะนี้บริษัทไม่ได้ขาดสภาพคล่อง นอกจากงานก่อสร้างโรงพักทดแทนเล้วยังมีงานก่อสร้างในสัญญาอื่นๆ มูลค่านับหมื่นล้านบาท"นายพิบูลย์กล่าว
นายพิบูลย์ กล่าวอีกว่า หากเรื่องนี้ศาลตัดสินว่าบริษัทมีความผิด หรือทำผิดสัญญา สตช.จะไม่ได้รับความเสียหาย เพราะบริษัทวางเงินค้ำประกันสัญญาไว้กว่า 300 ล้านบาท และยังมีหนังสือค้ำประกันสัญญากับธนาคารออมสิน (แอลจี) หรือ Lone Agreement อยู่อีก 877 ล้านบาท ดังนั้น หากมีข้อผิดพลาด สตช.จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
สำหรับเงินที่เบิกล่วงหน้ามาทำงานกว่า 1,500 ล้านบาทนั้น ได้แบ่งฝากไว้ในธนาคารจำนวน 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้ก่อสร้างโรงพักทดแทน หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงจะทราบว่า แทบไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องนำไปลงทุน โดยเฉพาะงานตอกเสาเข็ม ซึ่งเป็นฐานรากอาคาร
"หากสตช.ขยายสัญญาให้คาดว่าจะก่อสร้างสถานีตำรวจแล้วเสร็จกว่า 100 แห่ง ภายในเวลา 6 เดือน โดยเฉพาะพื้นที่ภาค 5 หรือภาคเหนือตอนบน ซึ่งการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขอทำความเข้าใจว่ากรณีการรื้อโรงพักเก่าเป็นหน้าที่ของผู้ว่าจ้าง ทางบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตำรวจต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มและจ้างแรงงานรื้อถอนเอง และยังพบว่าบางโรงพักมีการรื้อถอนก่อนการทำสัญญา ส่วนโรงพักที่ส่งมอบพื้นที่แล้วแต่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากติดขัดที่พ.ร.บ.ผังเมือง ห้ามเรื่องการก่อสร้างอาคารสูงเกิน 12 เมตร ทำให้ต้องมีการปรับแบบใหม่ เช่น โรงพักเชียงใหม่ น่าน และเกาะสีชัง ซึ่งสตช.ยังไม่ส่งแบบใหม่มาให้พีซีซี"นายพิบูลย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิบูลย์ได้นำสำเนาโฉนดที่ดินบ้านพักและที่ตั้งของบริษัทในจ.เชียงใหม่ มาแสดง เพื่อยืนยันว่าบริษัทเป็นของตนเองตั้งแต่ปี 2528 ไม่ได้เป็นของพ่อตานักการเมือง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองตามที่ถูกกล่าวหา
ด้าน พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวภายหลังการแจ้งข้อกล่าวหาผู้บริหารบริษัทพีซีซี 3 รายว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาครบทั้ง 2 ข้อกล่าว คือ การฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วงและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งผู้บริหารบริษัทพีซีซีเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปฎิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด โดยทางบริษัทได้นำเอกสารเอกสารมาชี้แจงค่อนข้างละเอียด
โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการชี้แจงสาเหตุความล่าช้าในการก่อสร้างโดยอธิบายว่า ภายหลังการทำสัญญากับสตช.จนถึงปัจจุบัน สตช.ส่งมอบพื้นที่ให้ก่อสร้างโรงพักเพียงกว่า 100 แห่ง อีกประมาณ 200 แห่งยังติดขัดไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเหตุใดโรงพักที่ส่งมอบหนพื้นที่ได้แล้ว การก่อสร้างจึงยังไม่แล้วเสร็จ
"ส่วนกรณีการจ้างผู้รับเหมาช่วงว่าบริษัทอ้างว่าเป็นการจ้างแรงงาน แต่ในชั้นการตรวจสอบพยานเอกสารพบว่าสัญญาระหว่างบริษัทพีซีซีกับผู้รับเหมาช่วงเป็นสัญญาให้ก่อสร้างโรงพัก ไม่ใช่การจ้างแรงงาน ดังนั้น พนักงานสอบสวนจะต้องเข้าสอบปากคำและตรวจสอบพยานเอกสารของบริษัทพีซีซีที่สำนักงานใหญ่ จ.เชียงใหม่อีกครั้งในสัปดาห์หน้า"ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษกล่าว
พ.ต.ท.ถวัล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทฯยักย้ายถ่ายโอนเงิน บ่ายวันนี้ ตนจะเสนอให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอเซ็นคำสั่งสั่งอายัดเงินจำนวน 400 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยในบัญชีธนาคารออมสิน สาขาประตูช้าง เผือก จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินครึ่งหนึ่งที่ทางธนาคารออมสินหักจากเงินล่วงหน้า 15 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 800 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักค้ำประกันของแบงก์การันตีในการทำสัญญากับทาง สตช.
ส่วนการที่ผู้บริหารของบริษัทพีซีซีออกมาระบุว่า สาเหตุที่ทำให้การก่อสร้างสถานีโรงพักทดแทนเกิดความล่าช้าส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงทำให้งานสะดุดและไม่มีการเบิกจ่ายเงินส่งให้บริษัทพีซีซีนั้น ยอมรับเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป