หลวงปู่พุทธะอิสระฟ้องอาญาหลวงปู่เณรคำ

หลวงปู่พุทธะอิสระฟ้องอาญาเอาผิดหลวงปู่เณรคำ "อวดอุตริ- ฉ้อโกงปชช.-ลวงบริจาคเงิน-แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์
พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เดินทางมาพร้อมนายพายัพ เฮ้าประมงค์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระวิระพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ หรือนายวิระพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ , พระภูมินทร์ ภูริปัญโญ พระเลขานุการของหลวงปู่เณรคำ , นายสนอง วรอุไร , นายสุขุม วงประสิทธิ์ , นายภันธกานต์ กิ้มทอง , นายภัทรเดช โสพรรณพานิชกุล , นายวิชัย สุขอำภา , นายพลวรรฒน์ สถิตเพียรศิริ และนายวิธิเนศวร์ พงศ์เผ่าพูล เป็นจำเลยที่ 1- 9 ในความผิดฐานแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 90-91, 208 และ 343ต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก
โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551-2556 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันหลอกลวงประชาชนจนเป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนจำนวนมาก โดยจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษมีญาณชั้นสูงสุดหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งจำเลยออกไปแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาถึงขั้นนิพพาน และอ้างว่าตนเองได้บรรลุธรรมมาตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว ซึ่งได้มีการเผยแพร่ออกสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 อาบัติปาราชิก ขาดจากการเป็นพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัยตั้งแต่เวลาดังกล่าวแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิ์แต่งกายหรือเครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ส่วนจำเลยที่ 2-9 ได้กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้หลอกลวงประชาชนว่าได้รับอนุญาตให้สร้างวัดชื่อ “วัดป่าขันติธรรม” ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และที่เป็นสาขาอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ทั้งที่จำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งวัดตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 ยังได้ใช้ภาพของพระสงฆ์และวัดเป็นเครื่องมือในการอ้างก่อสร้างพระแก้วมรกต องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่ได้ขออนุญาตเช่นเดียวกัน โดยหลอกลวงจนประชาชนหลงเชื่อและนำเงินทองทรัพย์สินมาบริจาคให้กับจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 นำทรัพย์สินไปแสวงหาความสุขทางโลกและใช้เพื่อการส่วนตัว
ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระเลขานุการคอยช่วยเหลือในการรับทรัพย์สิน จัดคนเข้าพบจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พำนักอยู่กับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ปี 2551 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้เคยศึกษาและบวชมาก่อน และเป็นผู้บรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้ช่วยสนับสนุนจำเลยที่ 1 ด้วยการบอกกล่าวให้ประชาชนมาบริจาคเงิน สำหรับจำเลยที่ 4 ที่เป็นประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรมได้ทำหน้าที่จัดหาคนมาฟังการหลอกลวงของจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 5 เป็นผู้พิมพ์หนังสือที่มีข้อความอวดอุตริมนุสธรรมของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 6-9 ได้จัดตั้งบริษัทขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด เมื่อวันที่ 17 ส.ค.55 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อเดียวกับวัดของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ปรากฏว่าประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากเป็นผู้ให้การจัดกิจกรรมต่างๆ ของวัดจำเลยที่ 1
แม้โจทก์จะไม่ได้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ถือเป็นผู้เสียหาย เพราะความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้นประชาชนทุกคนย่อมเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกกระทบต่อประชาชนและสังคมไทย องค์กรสงฆ์ที่เป็นองค์กรหลักของชาติ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในฐานะพระสงฆ์และในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามกฎหมาย
โดยศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบหมายเลขดำ อ.2448/2556 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะไต่สวนและรับฟ้องหรือไม่
ภายหลังหลวงปู่พุทธะอิสระ ได้อ่านแถลงการณ์กล่าวถึงเหตุที่ต้องมายื่นฟ้องคดีศาลอาญาว่า สาเหตุที่ต้องนำเรื่องฉาวของผู้ที่มาอาศัยพระพุทธธรรมมากล่าวโทษ เพราะสิ้นหวังกับขบวนการตุลาการที่เป็นเจ้าคณะปกครองของนายคำหรืออดีตภิกษุวีระพล ฉัตติโก ซึ่งท่านเหล่านั้นมีพฤติกรรมชื่นชอบลาภสักการะที่อดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก มอบประเคนให้จนเห็นพระธรรมวินัยเป็นเรื่องรอง ดังคำให้สัมภาษณ์ของงเจ้าคณะปกครองบางรูปว่าพระเลวๆ หากมีคนนับถือมากก็ยังดีกว่าพระดีๆ ที่ไม่มีคนเคารพเลย และเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ต่างล้วนเคยได้รับลาภสักการะจากอดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก หรือนายคำมานานนับสิบปี เช่นนี้แล้วเราจะหวังความสุจริตยุติธรรมจากตุลาการพวกนี้ได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการต้องมาขอพึ่งความสุจริตยุติธรรมจากศาลอาญากลาง ก็สุดศาลท่านจะเมตตาอนุเคราะห์ต่ออธิกรณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างไร
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า อีกทั้งการฟ้องร้องกล่าวโทษครั้งนี้ก็จะได้เป็นบรรทัดฐานของสังคมสืบไปว่าไม่ว่าผู้ใดจะบังอาจใช้นิมิตนามโอ้อวดตัวเองว่าเป็นผู้ทรงญาณ เป็นผู้หมดกิเลส เป็นผู้พ้นอาสวะ เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด เป็นผู้พ้นทุกข์ เป็นผู้มีชาติสุดท้าย เป็นผู้จบพรหมจรรย์ เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เข้าถึงนิพพานโดยมิได้มีจริงในตนจะต้องโดนฟ้องร้องกล่าวโทษและจะต้องรับโทษถึงที่สุด ที่พระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ เพราะถ้าจะอาศัยหลักธรรมวินัยลงโทษในยุคนี้ ดูจะเป็นไปได้ยากอย่างที่พวกท่านทั้งหลายทราบกันดี ซึ่งเราพร้อมที่จะรับต่อทุกสถานการณ์ที่จะตามมาโดยไม่หวาดผวาสะดุ้งกลัว เพราะเราเชื่อว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า การฟ้องครั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรักที่สุด เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานแก่บุคคลที่ใช้ผ้าเหลืองหากิน และเป็นการเตือนสติแก่เจ้าคณะปกครองที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครรับผิดชอบอะไรทั้งที่ความผิดมันชัดเจน สาเหตุที่โยนกันไปมาเพราะรถคันหนึ่งกับเงินอีกหลายบาท เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษก็โยนไปให้จังหวัดอุบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเจ้าตัวไม่อยู่ ตนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครเลยต้องมาพึ่งศาล
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ขอใช้เวลารวบรวมหลักฐานรวบรวมเอกสารที่จะยื่นฟ้องนายคำ กับพวกอีกประมาณ 20 กว่าคน ข้อหาซ่องโจร ที่ร่วมกันสมคบกันสร้างตัวละคร อรหอยให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เตรียมจะยื่นฟ้องเจ้าคณะปกครอง ตั้งแต่ระดับภาคลงไปยังตำบล ต่อศาลปกครองด้วยภายในพรรษานี้ เนื่องจากบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงและละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติ โดยตอนนี้กำลังรวบรวมเอกสารและทรัพย์สินของเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ซึ่งเจ้าคณะภาคก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พระชั่วๆถ้ามีคนไหว้ ก็ยังดีกว่าพระดีๆ ถ้ายังพูดอย่างนี้ได้แสดงว่าภาคนั้นก็คงมีแต่พระชั่วๆ พระดีไม่มีเหลือแล้ว จึงต้องหาวิธีจัดการไม่เช่นนั้นพวกนี้ก็จะหากินกับศาสนาไม่หยุด
"ตามหลักฐานพระวินัย นายคำขาดจากความเป็นพระมาเป็น 10 ปี แต่เจ้าคณะปกครองไม่รับรู้ อีกทั้งยังรับยศถาบรรดาศักดิ์และลาภสักการะ ถ้านายคำขาดจากความเป็นพระแล้วแสดงว่าทรัพย์สินตลอด 10 ปี ก็เป็นของโจร และคนที่รับของโจรจะต้องนำไปคืนและมีความผิด จึงไม่มีเจ้าคณะปกครององค์ใดกล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวว่าจะผิดฐานรับของโจรไปด้วยและกลัวว่าจะถูกยึดรถหรือยึดทรัพย์ไปด้วย " หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวและว่า ขอฝากเตือนไปยังเจ้าคณะปกครองด้วย ซึ่งมีการฉลองพัดยศโดยมีการนำโคโยตี้มาเต้นในวัด เจ้าคณะควรจะตระหนักสำนึกถึงพระธรรมวินัยและประโยชน์ของพระพุทธศาสนา มากกว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่ชาวบ้านหรือคนทำผิด ยัดเยียดให้
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า อีกทั้งขอฝากไปถึงผบ.ตร. ให้ช่วยติดตาม หาตำรวจ ยศร้อยตำรวจตรี ที่เป็นข่าวซึ่งเป็นตัวกลางผู้ประสานงานติดต่อส่งเหยื่อ หาเหยื่อบำเรอกามให้นายคำ และจ่ายตังให้เหยื่อนั้น ชื่ออะไร อยู่ในสังกัดไหน ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่แต่กลับรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด น่าจะมีโทษอะไรบ้าง ก็ขอให้ช่วยสืบค้นให้ด้วย และจะต้องถูกดำเนินการคดีทั้งทางอาญาและวินัยฐานสมรู้ร่วมคิดกับโจร ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และปกปิดความผิดที่เกิดขึ้นก็มีส่วนร่วมเป็นซ่องโจรเหมือนกัน ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้อง โดยจะต้องถอนยวงคนชั่วที่มาอาศัยศาสนาหากินจนร่ำรวยตามๆกัน จนทำให้ศาสนาเสื่อมโทรมลงอย่างชนิดที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบเลย
เมื่อถามถึงกรณีที่ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำกล่าวหาว่าหลวงปู่พุทธะอิสระอิจฉานั้น หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า "จำเป็นต้องอิจฉาคนชั่วด้วยหรือ เพราะเขาชั่วมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งอาตมาเคยพูดมาตลอดเป็นเวลา 10 ปี เรื่องนายคำหลอกชาวบ้าน พูดมาก่อนที่จะมีเรื่องพวกนี้อีกด้วยซ้ำ"







