เปิด!พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งที่15ของไทย

เปิด!พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งที่15ของไทย

"แม่น้ำสงคราม-ป่าบุ่งป่าทาม" ว่าที่พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งที่15ของไทย

วันที่ 2 ก.พ.ของทุกปีเป็น "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" ซึ่งเป็นวันสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร

สำหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือ อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ลำดับที่ 110 จากทั้งหมด 163 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2541 เพื่อแสดงเจตนารมณ์อนุรักษ์พื้นที่ดังกล่าว

ตลอดระยะเวลาเกือบ 17 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สำรวจพื้นที่และนำไปขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาฯ มาแล้วหลายแห่ง จนถึงขณะนี้มีทั้งสิ้น 14 แห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคใต้

เมื่อวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลกเวียนมาถึงอีกครั้งในปีนี้ กองทุนสัตว์ป่าโลก หรือ ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และท้องถิ่น จ.นครพนม ได้ร่วมกันจัดงานชื่อ "แม่น้ำสงคราม...ป่าบุ่งป่าทาม...มั่นยืนชั่วกาลนาน" เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญในระดับนานาชาติของพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณแม่น้ำสงครามตอนล่างซึ่งอุดมไปด้วยพืชและสัตว์น้ำเกือบ 200 ชนิด ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นให้แก่ชุมชนและประชาชนทั่วไป ในฐานะ "ว่าที่พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งที่ 15 ของไทย"

"แม่น้ำสงคราม" เป็นลำน้ำสาขาสายหลักของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดอยู่ใน จ. อุดรธานี ไหลผ่าน จ.หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม มีความยาวประมาณ 420 กิโลเมตร จัดเป็นแม่น้ำสาขาหลักของแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวที่ยังไม่มีการสร้างเขื่อน

สำหรับลุ่มน้ำสงครามตอนล่างเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากบริเวณหนึ่งของประเทศ ซึ่งลำน้ำแห่งนี้มีการทำประมงตลอดลำน้ำที่มีชุมชน เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ รวมทั้งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และยังพบสัตว์น้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ปลาบึก ปลาตองลาย และปลายี่สก เป็นต้น

พื้นที่แห่งนี้จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ดำเนินงานของโครงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง รัฐบาล 4 ประเทศ ในเขตลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ได้แก่ ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

นอกจากนี้ ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประเทศไทย ได้จัดตั้งโครงการปรับปรุงการจัดการระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบึงโขงหลง น้ำเมา น้ำสงคราม แม่น้ำโขง จ.บึงกาฬ และนครพนม ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย 42 หมู่บ้าน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงก์กิ้งคอร์ปอเรชั่น หรือ เอชเอสบีซี ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2555 - 30 มิ.ย.2560

นางสาวเยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้อำนวยการ ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประเทศไทย บอกว่า คนทั่วไปอาจจะมองเห็นน้ำเป็นแค่น้ำ แต่วันนี้เราได้เห็นแล้วว่า สำหรับชุมชนที่อยู่ติดน้ำพวกเขาคิดว่าน้ำเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แท้จริงแล้วความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำจืดมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตของทุกๆ ชีวิต ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในป่า ริมน้ำ หรือแม้กระทั่งในเมือง

"ความอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาก็คือความอุดมสมบูรณ์ของพวกเราเช่นเดียวกัน การอนุรักษ์และความเข้าใจในพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเราทุกคนจะต้องใส่ใจร่วมกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะชุมชนเพียงอย่างเดียว"

อย่างไรก็ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำก็มีความเสี่ยงถูกภัยคุกคาม 3 ประเภท ด้วยกัน คือ 1.การทำการเกษตรไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้สารเคมี ยาปราบวัชพืช และยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น

2.การทำการประมงด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย และไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูแล้ง เช่น การช็อกปลาและการเบื่อปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นต้น

3.การออกแบบระบบชลประทานไม่เอื้อต่อการอพยพโยกย้าย การทำรัง วางไข่ ขยายพันธุ์สัตว์น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของชุมชน

ด้าน นายรัฐพล พิทักษ์เทพสมบัติ ผู้จัดการโครงการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำตอนล่าง ดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ ประเทศไทย บอกด้วยว่า ด้วยความหลากหลายทางระบบนิเวศวิทยาของแม่น้ำสายนี้ จึงเกิดโครงการฟื้นฟูพื้นที่เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วหลายส่วน แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดในพื้นที่ดังกล่าวที่จะต้องเข้าไปดูแล

"คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1 ปีก่อนจะรวบรวมข้อมูลพื้นที่ทั้งหมดเสนอขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งใหม่ของไทยตามอนุสัญญาแรมซาร์ภายในปี 2559"