แผนกคดีทุจริตฯศาลอาญา มือปราบโกง'กรรมติดจรวด'

แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา ” แยกมาเป็นศาลเฉพาะ เสมือน “ศาลชำนัญพิเศษ”
หากกล่าวถึงคดีซึ่งเป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมากในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น คดีที่ศาลพิพากษาให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง จากการที่ยักยอกเงินค่าโฆษณาของ อสมท. ซึ่งคดีดังกล่าวใช้เวลาในการพิจารณารวดเร็ว เพียงเวลา 1 ปี ก็สามารถมีคำพิพากษาออกมาได้ และคำพิพากษาดังกล่าวส่งผลทางสังคมในเวลาต่อมา ทำให้นายสรยุทธ ต้องยุติบทบาทในฐานะสื่อมวลชนที่เขาทำมาเกือบ 30 ปี
คดีดังกล่าวหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า เป็นฝีมือของแผนกคดีหนึ่งในศาลอาญา นั่นก็คือ “แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ”ในศาลอาญา หรือจะเรียกง่ายๆว่า “ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตฯ” ก็ได้ และ “คดีสรยุทธ ไร่ส้ม” ไม่ใช่คดีแรก ดังนั้นเราจึงมาทำความรู้จัก “แผนกคดีทุจริตของศาลอาญา”กัน
“10 สิงหาคม 2558” เป็นฤกษ์งามยามดี ศาลอาญาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั่วราชอาณาจักร ได้จัดตั้ง“ แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าที่รัฐ ” ด้วยเป้าประสงค์ที่ว่า การทุจริตเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบสังคมในวงกว้าง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงของรัฐ ขณะที่การแสวงหาพยานหลักฐานทำได้ยาก จึงจัดตั้งแผนกคดีขึ้นมาเฉพาะ เพื่อบริหารจัดการคดีให้ได้ผลสัมฤทธิ์ต่อการมุ่งมั่นปราบปรามทุจริต
และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2554 ที่ให้กระบวนพิจารณาคดีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ต้องเป็น“ระบบไต่สวน” เพื่อจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ความจำเป็นนี้ ทำให้ศาลต้องให้ความสำคัญกับวิธีพิจารณาด้วย จึงได้กำหนดกระบวนพิจารณาคดีเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา เป็นระบบไต่สวน ที่ขั้นตอนจะคล้ายกับดำเนินคดีของ “แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา”
ซึ่งจุดเด่นระบบไต่สวน คือ การยึดถือสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นหลัก และยังมีสาระสำคัญที่จะต้องให้โจทก์ ยื่นคำฟ้องพร้อมสำนวน ป.ป.ช.ทั้งหมด เพื่อให้สิทธิกับจำเลยที่จะมาตรวจสอบข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานได้ ระบบไต่สวนจึงทำให้ทั้งอัยการโจทก์ จำเลย และศาล ต่างได้เห็นพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนจะเริ่มสืบพยาน ทำให้เมื่อถึงเวลาไต่สวนพยานทำให้ประเด็นมีความกระชับ ว่าประเด็นใดเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ ทำให้การแสวงหาข้อเท็จจริงใช้เวลาไม่เนิ่นนาน
นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและอดีตเลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เปรียบเทียบระบบพิจารณาคดีให้ฟังว่า การจัดตั้งแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา มีการจัดกระบวนการบริหารจัดการคดีให้มีความรวดเร็ว โดยมีบุคลากรเฉพาะที่มีความชำนาญด้านคดีลักษณะนี้ ซึ่งจะมีผู้พิพากษาตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เป็นหัวหน้าแผนก 1 คน
“หากจะให้เปรียบเทียบ”ระบบไต่สวน" กับ" ระบบกล่าวหา" จริงๆ แล้วต้องดูว่าระบบมุ่งประโยชน์ทางใด ซึ่งระบบไต่สวนโดยเฉพาะข้อหาทุจริตนี้ มุ่งเน้นการคุ้มครองประโยชน์หรือความเสียหายของรัฐ จึงกำหนดให้ภาระการแสวงหาข้อเท็จจริงเป็นของศาลมากกว่าคดีอาญาทั่วไป เพราะมีสมมุติฐานเรื่องความสามารถของจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ข้อกล่าวหาว่า จะมีบทบาทหรือศักยภาพในการเข้าถึงพยานหลักฐานเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายตรวจสอบ ดังนั้นลำพังการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบอาจจะยังไม่พอ จึงให้ศาลเข้ามีบทบาทลักษณะ Take Action ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจากหลักฐานเพิ่มขึ้น คือเรียกถามพยานเพิ่มเติม มากกว่าแค่การนั่งรับฟังอย่างเดียว ทำให้ได้ชุดความจริง ใกล้เคียงความจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว 100 % หรือใกล้เคียงมากที่สุด ซึ่งต่างจากคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา ที่จำเลย คือ ประชาชนธรรมดา ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นฝ่ายตรวจสอบจะมีศักยภาพสูงกว่า คือ เป็นตำรวจ อัยการ ที่มีเครื่องมือเต็มที่ ดังนั้นระบบกล่าวหาจึงมุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยให้ศาลเป็นผู้ตรวจสอบกระบวนการทำงานของตำรวจ อัยการ ในการนำพยานหลักฐานที่เอามากล่าวหาประชาชนตกเป็นจำเลยว่าเป็นจริงหรือไม่ ขั้นตอนการแสวงหาหลักฐานมานั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเต็มที่จากสถานะคู่ความที่ต่างกัน"
เขาอธิบายถึง ระบบไต่สวนที่ทำให้คดีเสร็จเร็ว เพราะมีการเสนอสำนวนตั้งแต่ต้น จำเลยสามารถตรวจสอบว่าส่วนใดเป็นคุณเป็นโทษ กระบวนการเสมือนให้มีเวลานำข้อสอบไปทำที่บ้าน แล้วหาหลักฐานมาหักล้าง ทำให้ร่วมกันแสวงหาข้อเท็จจริงทั้ง ศาล โจทก์ และจำเลยด้วยกัน
ขณะที่ผ่านมา 7 เดือน หลังการเปิดแผนกฯ มีคดีข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาถึง 60 คดี มีทั้งคดีที่ฟ้องอยู่ในคดีอาญาทั่วไปก่อนตั้งแผนก รวม 33 คดี ส่วนคดีฟ้องใหม่หลังการตั้งแผนกจำนวน 27 คดี
และหนึ่งในคดีสำคัญ ที่เข้าสู่การพิจารณาและพิพากษาของแผนกฯ ที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สังคมรู้จักตกเป็นจำเลย ก็คือ “ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา” อดีตผู้ว่า สตง. ที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า ในปี 2546 คุณหญิงจารุวรรณ อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ดำเนินการจัดรายชื่อ เจ้าหน้าที่ สตง. สัมมนานอกสถานที่ รวมกับการจัดงานกฐิน จ.น่าน จนทำให้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 294,440 บาท ไม่ชอบ คดีนี้ อัยการยื่นฟ้อง ต่อศาลอาญาเมื่อ 30 ต.ค.57 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติิหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามมาตรา157 ซึ่งแผนกฯใช้เวลาพิจารณาคดี เพียง 1 ปี ก็พิพากษาคดีได้ โดยศาลตัดสินให้จำคุก คุณหญิงจารุวรรณ เป็นเวลา2 ปี แต่ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี
จากนั้น...ยังมีการตัดสิน คดีสะเทือนวงการสื่อสารมวลชน อย่าง “ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการเล่าข่าวชื่อดัง และบริษัทไร่ส้มฯ” โดยพฤติการณ์คดีคือ เมื่อปี 2548 -2549 นายสรยุทธได้สนับสนุน อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท.ฯ ไม่ให้จัดทำใบคิวโฆษณาให้ถูกต้อง โดยมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนถึง 600,000 บาทด้วย และส่งผลให้ อสมท.ขาดประโยชน์จากการเก็บค่าโฆษณาเกินเวลารวมเป็นจำนวน 138,790,000 บาท
คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณา อสมท.,บริษัทไร่ส้ม จำกัด,นายสรยุทธ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย1-4 ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 30 ม.ค.58 และหลังจากใช้เวลาไต่สวน 1 ปีเต็ม ศาลก็มีคำพิพากษาว่านายสรยุทธ กับพวก กระทำผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ให้จำคุกนายสรยุทธ 13 ปี 4 เดือนและปรับ บ.ไร่ส้ม เป็นเงิน 80,000 บาท ส่วนนางพิชชาภา จำคุก 20 ปี , น.ส.มณฑา จำคุก 13 ปี 4 เดือน ซึ่งทั้งหมดได้ประกันตัวรอสู้คดีชั้นอุทธรณ์
ส่วนคดีสำคัญอื่น ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของแผนกฯนี้ ก็คือ ...คดี “จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการ ททท."กับลูกสาว ที่อัยการ ยื่นฟ้องว่า กระทำผิดตาม พ.รบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 20 ปี กรณีเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี2002 - 2007 มูลค่ากว่า60ล้านบาท
คดีนี้่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญา วันที่ 25 ส.ค.58 ขณะนี้ี้อยู่ในช่วง “ตรวจพยานหลักฐาน”ในคดี และศาลจะเริ่มไต่สวนพยานอัยการโจทก์วันที่ 24 พ.ค.นี้ และกำหนดสิ้นสุดการไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายในวันที่ 10 ส.ค.59 จะเห็นได้ว่า กระบวนพิจารณาคดีนี้ น่าใช้เวลาไม่เกิน 1 ปีเช่นกัน
ทั้งหมด...เป็นเพียงตัวอย่างคดี ให้เห็นว่า เมื่อมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ประพฤติมิชอบ กระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ก็ให้ความสำคัญต่อการแสวงหาความจริงโดยรวดเร็วเพื่อพิสูจน์ว่า จำเลยนั้นบริสุทธิ์ หรือมีความผิดตามข้อกล่าวหา
ขณะที่ในอนาคตอันใกล้ภายในปี 2559 สังคมไทยอาจจะได้เห็นการจัดตั้ง“ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ” ที่เป็นการยกฐานะ “ แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา ” แยกมาเป็นศาลเฉพาะ เสมือน “ศาลชำนัญพิเศษ” เพื่อบริหารจัดการคดีให้สัมฤทธิ์ผล ต่อการบังคับบทลงโทษผู้ทำผิดแบบ“กรรมติดจรวด”ด้วย