คุก3ปีไม่รอลงอาญา 'เบญจา-4ขรก.' ช่วย 'โอ๊ค-เอม' เลี่ยงภาษี

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปีไม่รอลงอาญา "เบญจา หลุยเจริญ" อดีตรองอธ.สรรพากร อดีตขรก. รวม 4 คน กรณีช่วย"โอ๊ค-เอม" เลี่ยงภาษีโอนหุ้น
ศาลอาญานั่งบัลลังก์นัดฟังคำพิพากษา คดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เป็นโจทย์ฟ้องนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง และอดีต รองอธิบดีกรมสรรพากรกับพวกรวม 5 ราย กรณีการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ชินวัตร ในการไม่ต้องชำระภาษีจากการโอนหุ้นกว่า 8,000 ล้านบาท ล่าสุดศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1-4 ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
เมื่อเวลา 11:00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้อง 912 ศาลอาญานัด นัดฟังคำพิพากษาคดีไม่เสียภาษีโอนหุ้นชินฯ ซึ่งคดีนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1-5 ต่อแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา ซึ่งศาลประทับรับฟ้อง เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2558 และนัดไต่สวนครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา(2559)
โดยจำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากร ประกอบด้วย นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตอธิบดีกรมสรรพากร / น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย / น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย และนายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 (คนละ 1 ร้อย 64 ล้าน 6 แสนหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา)
ซึ่งเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละประมาณ 8 พันล้านบาท (7,941,950,000 บาท) ซึ่งการกระทำนั้น ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-4 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83
ส่วนนางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จำเลยที่ 5 ไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1-4
ทั้งนี้ นางเบญจา หลุยเจริญ จำเลยที่ 1 ในคดีนี้นับเป็นคนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน เคยได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากรในปี 2546 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังในปี 2548 เป็นรองปลัดกระทรวงการคลังในปี 2551 เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตในปี 2554 และตำแหน่งสุดท้ายคือ อธิบดีกรมศุลกากร ก่อนจะลาออกจากราชการเพื่อมารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2556
ส่วน น.ส.โมรีรัตน์ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากรนั้น เคยถูกอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องร่วมกับนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพพากร กับพวกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รวม 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการเรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร จากกรณีเมื่อปี 2540 ที่คุณหญิงพจมาน อดีตภรรยานายทักษิณ โอนหุ้น บมจ.ชินคอร์ป จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ให้นายบรรณพต ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม และคนใกล้ชิด
แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง น.ส.โมรีรัตน์กับพวกในคดีดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าพวกจำเลยได้ทำการวินิจฉัยและเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอนแล้ว
ล่าสุดเมื่อเวลา 11:40 น.ที่ผ่านมา ศาลอาญามีคำสั่งพิพากษาจำเลยที่ 1-4 จำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา คือ
1.นางเบญจา หลุยเจริญ
อดีต รมช.คลัง รัฐบาลยิ่งลักษณ์
อดีตอธิบดีกรมสรรพากร
2.น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง
อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร
3.น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ
อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร
4.นายกริช วิปุลานุสาสน์
ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร
ส่วนจำเลยที่ 5 คือ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ศาลอาญามีคำสั่งพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ด้านทนายจำเลยทั้งหมดเตรียมยื่นขอประกันตัวขณะนี้รอว่าศาลจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่คาดบ่ายนี้จะทราบผล