ศาลฎีกาปรับ1แสน 'ชวนนท์' แถลงข่าวหมิ่น 'ปึ้ง'
ศาลฎีกาพิพากษากลับจากยกฟ้อง ให้ปรับ 1 แสน รอลงอาญา 2 ปี "ชวนนท์" แถลงข่าวปี 54 หมิ่น "สุรพงษ์" กล่าวหาเอื้อผลประโยชน์ให้เขมร
ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4990/2554 ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย มอบอำนาจให้ นายวิรัช ศรีอินทรสุทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชวนนท์ อินทร์โกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.54 บรรยายความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย.54 นายชวนนท์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายสุรพงษ์ โจทก์ ซึ่งเป็น รมว.ต่างประเทศ ได้ให้นายอัษฎา ชัยนาม ออกจากประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (เจบีซี) และให้นายวีรชัย พลาศรัย ออกจาก กรรมาธิการเจบีซี เพื่อประโยชน์แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นความเท็จ และต่อมาสื่อมวลชนได้นำตีพิมพ์เผยแพร่ข่าวในวันที่ 25 ก.ย.54 การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เหตุเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.57 ว่า การกระทำของ นายชวนนท์ จำเลย เป็นความผิดหมิ่นประมาทฯ ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน
ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 17 ก.ค.58 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการที่จำเลย ได้แถลงข่าวถึงโจทก์นั้น ก็เป็นการตั้งคำถามเชิงตรวจสอบ ตั้งข้อสงสัย และเป็นการคาดคะเนต่อการกระทำหน้าที่ของโจทก์ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้ทำประเทศชาติเสียหาย
ต่อมา นายสุรพงษ์ โจทก์ ยื่นฎีกา ซึ่งวันนี้ นายชวนนท์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จำเลย ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ขณะที่ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหา และถ้อยคำที่จำเลยแถลง มีลักษณะว่าตัวโจทก์ มีพฤติการณ์ ทำเพื่อผลประโยชน์และรับคำสั่งมาจากประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบ แม้จำเลยจะไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงเจาะจงว่าโจทก์มีพฤติการณ์ตามที่จำเลยแถลงข่าวแต่บุคคลทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์กระทำการเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชาและเป็นคนขายชาติ
ส่วนจำเลย อ้างตัวเองเป็นพยานเพียงปากเดียว เบิกความว่า การเปลี่ยนตัวนาย อัษฎา ออกจากประธานเจบีซี และนายวีรชัย ออกจากกรรมาธิการเจบีซี มีผลทำให้เกิดความเสียหาย นั้น เป็นเพียงคำกล่าวลอยๆ แม้จะมีการนำเอกสารบทความต่างๆ เข้าเป็นหลักฐาน ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษามา ฐานหมิ่นประมาทฯ ให้จำคุก2 ปี และปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน