'พระสนิทวงษ์' โวยจนท.ส่งข้าวบูดให้ฉัน!

"พระสนิทวงษ์" แถลงขอความเห็นใจหลังจนท.ส่งข้าวบูดให้พระฉัน ลั่นการข่าวของรัฐบาลผิดร้ายแรง ยันวัดยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาตลอด 47 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน้าอำนวยการวัดพระธรรมกาย ถนนเลียบคลองแอล ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พระสนิทวงศ์ วุฆฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ว่า 1. เจ้าหน้าที่เข้ามาอาคาร 60 ปี โดยพลการ ภาพจากกล้องวงจรปิด พบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มาสวมเครื่องแบบ มุงตรงไปอาคาร 60 ปี วัดพระธรรมกาย ทำทีท่ากำลังดึงสายสัญญาณกล้อง CCTV ออก และจับกุมพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางวัดไป คำถามคือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ต้องการทำอะไร?
2.บุคคลไม่ระบุว่าเป็นใคร มาพร้อมใบกระท่อม ที่ประตู 7
3.กรณีเรื่องอาหาร ได้รับข้อมูลว่า ข้าวกล่องมื้อเที่ยงที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ ประตู 7 เวลา 10.00 น. จำนวน 300 กล่อง บูดเสียทั้งหมด ไม่สามารถนำมาขบฉันหรือรับประทานได้เลย ที่สำคัญพระและศิษย์ในวัดมีประมาณ 10,000 คน แต่ส่งมา 300 กล่อง ย่อมไม่เพียงพอแต่การขบฉันและบริโภค ท่านทั้งหลาย แม้ในสงครามโลก องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ยังห้ามไม่ให้มีการปิดกั้นการลำเลียงอาหารต่อพลเมืองผู้บริสุทธิ์ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง ดังตัวอย่างในสงครามกลางเมืองของซีเรีย มีการล้อมเมืองอเล็ปโป และจะมีตัดเสบียงอาหารเพื่อให้ทหารข้าศึกและประชาชนในเมืองหิวโหย จะได้ยอมจำนน UN ได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้ทำ จะรบก็รบกันไป แต่จะปิดกั้นเสบียงอาหารไม่ได้ !!! แต่กรณีของวัดพระธรรมกาย เราไม่ได้รบกับเจ้าหน้าที แค่รักษาสิทธิของตนเอง
วัดพระธรรมกาย เป็นสมาชิก UN ประเภท NGO (ไม่ใช่ประเภทรัฐบาล) การปิดกั้นเสรีภาพเรื่องเสบียงอาหาร ปิดกั้นเสรีภาพทางสัญญาณสื่อสาร ปิดกั้นเสรีภาพการสัญจรเดินทาง ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร ตำรวจ ทำกับพระภิกษุและพลเมืองผู้บริสุทธิ์ จึงเป็นการกระทำที่ยิ่งกว่าในสงคราม นี่ไม่ใช่กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย นี่ไม่ใช่การทำตามกฎหมาย แต่เป็นการทำตามกฎกู ที่เขียนขึ้นตามอำเภอใจ เพราะไม่มีกฎหมายที่ตราขึ้นโดยชอบธรรมของประเทศใดในโลก ที่อนุญาตให้รัฐปิดล้อมประชาชนตัดข้าวปลาอาหาร ตัดสัญญาณโทรศัพท์ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตเช่นนี้ จากสาเหตุเพียงแค่จะจับพระภิกษุชราด้วยข้อหา “ขัดหมายเรียก” ” หยุดย่ำยีพระพุทธศาสนา ยกเลิก ม.44 ทันทีเถิด
4.การข่าวของรัฐบาลผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยขอตั้งข้อสังเกตว่า กุนซือ เจ้าหน้าที่รัฐ ให้ข้อมูลเท็จกับทางราชการ และเป็นบุคคลล้มละลายทางด้านความน่าเชื่อถือ เพราะ โกหกว่า ใต้ถุนอาคาร เป็นอุโมงค์ลับ ซึ่งไม่เป็นความจริง , โกหกว่า เครื่องนับดิจิตอล “สัมมาอะระหัง” เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสาร ,. โกหกว่า อาคารบุญรักษา ซึ่งกำลังก่อสร้าง เป็นที่หลบซ่อนตัวของหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าหน้าที่ ต้องเสียเวลา ยกกำลังพล เกือบ 50 นาย เข้าไปบุกตรวจ แต่ก็พบเพียงฝุ่น ที่กำลังก่อสร้างเท่านั้น , โกหกว่า อาคารภาวนา 60 ปี เป็นที่หลบซ่อนตัว แต่เจ้าหน้าที่ เข้าไปตรวจค้น ถึง 3-4 ครั้ง ก็พบเป็นอาคารที่ให้ญาติโยมมาปฏิบัติธรรม ,โกหกว่า อาคารดาวดึงส์ เป็นที่หลบซ่อนตัว แต่ก็ไม่พบตัว เจอเพียงเครื่องเพิ่มออกซิเจนกับเตียงเปล่า ,โกหก ว่า อาคาร 100 ปี ซึ่งยังไม่มีการเปิดใช้งาน เป็นที่พักนักของหลวงพ่อธัมมชโย
สรุป ท่านไม่เชื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาตรวจค้น แต่กลับเชื่อการข่าวที่หลอกลวงของกุนซือที่ดูเหมือนมีปัญญา มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต เป็นบุคคลล้มละลายทางด้านความน่าเชื่อถือ ถ้ารัฐบาลยังเชื่อ บุคคลที่ไม่มีคุณธรรม มีความอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ มีความเนรคุณคน รัฐบาลก็ไม่มีความชอบธรรม ไม่มีธรรมภิบาล ในการบริหารจัดการเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
5.วัดพระธรรมกาย ขอยืนยันในการยึดหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตลอด 47 ปี คือ การทำทาน รักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนามาโดยตลอด และหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พระภิกษุสามเณรที่ออกบวชอุทิศตนอยู่ในวัด หรือ 200 ศูนย์ฯต่างๆ ทั่วโลก ล้วนมีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนคำสอนดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกเก็บไว้ในภาษาบาลี จนมีสถิติพระสงฆ์สามเณร และฆราวาสสอบเปรียญธรรม และสอบบาลีศึกษาได้มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ปัจจุบันสำนักเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย มีผู้สอบผ่านบาลี ชั้นสูงสุด ป.ธ.9 และบาลีศึกษาจำวนทั้งสิ้น 70 รูป/คน และมีพระที่จบระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (ระดับดอกเตอร์) ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 12 รูป เป็นบุคลากรทางการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งและต่างประเทศ
จากสถานการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระพุทธศาสนาที่ได้รับสืบทอด ปลูกฝังมาจากบรรพบุรุษ จึงทำให้มีวัฒนธรรมที่ดีงาม รักในพระพุทธศาสนา มีความเคารพเทิดทูน บูชาพระพุทธศาสนา เทิดทูนบูชา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่เคยล่วงเกินเลย แม้เดินเข้าวัดก็ไม่อยากให้ทรายติดเท้าออกมา กลัวจะเป็นบาป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในวัด แม้เป็นเม็ดทรายหรือฝุ่นก็ล้วนแต่เป็นสมบัติพระศาสนา เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเทศกาล ก็มีการก่อพระเจดีย์ทราย คือ การนำทรายกลับคืนมา สั่งสมบุญวัด เพื่อทดแทนในช่วงที่เข้าวัดที่ทรายติดเท้ามาโดยไม่เจตนา บรรพบุรุษของเรา ให้ความเคารพในพระพุทธศาสนาขนาดนี้ แต่นี่จะขอมาบริหารวัด หรือสมบัติพระศาสนาอย่างไร้เหตุผล อย่างกับไม่ใช่ชาวพุทธเลย ไม่มีวัฒนธรรมอันดีงาม ไม่มีศีล ไม่มีธรรมอยู่ในใจเลย
ภาพจาก Phra Sanitwong Charoenrattawong