เปิดปากพยานปากเอกนาทีวิสามัญฯ 'ชัยภูมิ ป่าแส'
เปิดปากพยานปากเอก...นาทีวิสามัญฯ “ชัยภูมิ ป่าแส”
ท่ามกลางการออกมาให้ข่าวแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะ “ผูกขาด” ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจและทหาร ในคดีวิสามัญฆาตกรรม “ชัยภูมิ ป่าแส” หรือ “จะอุุ๊” เด็กหนุ่มนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ บริเวณด่านทหารสามแยกรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้วันนี้พื้นที่ข่าวเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดของชัยภูมิ และการพยายามต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร จนถูกยิงด้วยเอ็ม 16 หนึ่งนัดแบบไม่เกินกว่าเหตุ
แต่สิ่งที่ยังค้างคาใจผู้คนในสังคมบางส่วนก็คือ ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุ และผลการชันสูตรศพที่ยังไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
“ทีมล่าความจริง” ลงพื้นที่ร่วมกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและพูดคุยกับครอบครัวของนายชัยภูมิ ทำให้ได้พบกับพยานปากสำคัญรายหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการใช้อาวุธปืนวิสามัญฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ผู้นี้ ซึ่งเสียงของพยานรายนี้ไม่ค่อยมีพื้นที่สื่อในการนำเสนอมากนัก
พยานปากสำคัญบอกกับทีมล่าความจริงว่า ในวันเกิดเหตุเขาเห็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่บริเวณป้อมในด่านสกัด เรียกตรวจรถยนต์ที่นายชัยภูมินั่งมาด้วย ก่อนจะได้ยินเสียงโวยวายคล้ายคนทะเลาะกัน จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น
พยานปากสำคัญที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า “ผมเห็นเจ้าหน้าที่จับชายหนุ่มไว้หลังรถ แล้วก็เห็นมีต่อย มีการกระทืบ แล้วก็ได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด จากนั้นทหารก็เข้ามาเพิ่มอีก แล้วเห็นเจ้าหน้าที่ดึงน้องชายคนนั้นมาต่อยเข้าที่หน้า 1 ที เตะเข้าไปยอดอก 1 ที ก่อนที่น้องเขาจะวิ่งหนี ก็มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ถือปืนตามไป 2 คนแล้วเขาก็หกล้ม แล้วมีแผลที่เท้าด้วย แล้วได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างหลังบอกว่ายิงยิงยิง แล้วก็ได้ยินเสียงปืนขึ้นอีก 3 นัด หลังจากเสียงปืนสามนัด น้องคนนั้นก็ล้มลง แล้วชาวบ้านก็จะเข้าไปดู แต่ว่าเจ้าหน้าที่เขากันไม่ให้ดู แล้วเห็นเจ้าหน้าที่เขาเอาประตูมาปิดไม่ให้ชาวบ้านเห็น”
เห็นเจ้าหน้าที่หยิบกระเป๋าใบหนึ่งออกจากรถ และเดินทางตรงไปที่ป้อม ก่อนจะเอากระเป๋าใบเดิมกลับมา ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมดตนรู้สึกสงสารเด็กคนนั้น เพราะเขาไม่มีอาวุธอะไรในมือเลย แม้ตนเองจะไม่รู้จักกับเด็กคนนั้น แต่ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใคร และชาวบ้านที่นี่หรือที่ไหนก็ไม่มีใครชอบให้ลูกหลานไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอยู่แล้ว
“หลังจากนั้นเห็นเจ้าหน้าที่เอากระเป๋าออกจากรถไปแล้วอีกสักพักหนึ่งก็เอากลับมา ผมเห็นเหตุการณ์นี้ นอกเหนือจากนี้ผมไม่เห็น ไม่ได้มีอคติกับใครทั้งสิ้นแต่เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ น้องคนนี้มามือเปล่า ไม่มีอาวุธอะไรติดมือมา แล้วก็ไม่รู้จักกับน้องคนนี้เป็นการส่วนตัว เห็นใจน้องคนนี้ที่มามือเปล่าแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เหตุเกิดแบบนี้ที่ไหนก็เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีที่เกิดขึ้นกับใครก็ตามที่บริสุทธิ์ จะเกิดขึ้นกับใครเราก็ต้องเสียใจเช่นกัน เรื่องยาเสพติดเรื่องอะไรต่างๆไม่มีใครชอบ แต่ว่าการที่คนบริสุทธิ์ตายเราก็ไม่ชอบ เราชาวบ้านทุกคนไม่ชอบยาเสพติด เราทุกคนใครมีลูกมีหลานแล้วก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกหลานใช้ยาเสพติด เราเห็นการจับกุมการดำเนินคดีที่อื่นมามากมาย ไม่ต้องเสียชีวิต แต่การที่คนบริสุทธิ์คน 1 เสียชีวิตเราก็เสียใจ” พยานปากสำคัญ เล่า
ด้านนางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ บอกว่า อยากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า นำหลักฐานในคดีออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อตอบข้อสงสัยทั้งของสังคมไทยและนานาชาติที่จับตาดูการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลชุดนี้อย่างมาก จะได้ไม่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียวเหมือนที่ผ่านมา
“อยากให้เปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อที่จะให้ภาพอย่างเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งต่อน้องชัยภูมิเอง แล้วก็ต่อผู้ที่ทำวิสามัญฆาตกรรมด้วย แต่ว่ามีข้อมูลภายในจากชาวบ้านที่เล่าลือกันว่า ทหารที่ทำวิสามัญเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งอายุไม่เท่าไหร่ แล้วก็น้องชัยภูมิเป็นคนที่เข้าออกด่านนี้บ่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นที่คุ้นเคยอาจจะมีความขัดแย้งการเป็นส่วนตัวไหม จึงเป็นเหตุทำให้ถึงขั้นวิสามัญตรงนี้ พี่อยากให้บ้านเมืองรู้กระจ่างชัดเรื่องจะได้ยุติว่าความถูกผิดอยู่ที่ไหน
ถ้าสังเกตุว่าทำไมถึงใช้ขั้นรุนแรงถึงชีวิตเขา โดยใช้ดุลพินิจอะไร แล้วถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด อย่างรอบด้าน อย่างเปิดเผย อย่างโปร่งใส สังคมก็จะมีคำถาม ก็จะไม่จบแล้ว ก็จะบานปลาย จะกลายเป็นไฟลามทุ่งหรือน้ำผึ้งหยดเดียวแบบนี้ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลย อยากเห็นรัฐบาลของท่านพลเอกประยุทธ์ ซึ่งท่านไปพูดทุกเวทีของสหประชาชาติว่า ประเทศไทยโดยรัฐบาลของท่านให้ความสำคัญกับคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แล้วก็เมื่อเร็วๆ นี้กรรมการทั้งชุดได้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านรัฐมนตรีก็บอกว่าท่านนายกฯให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยอยู่ในสังคมโลก 190 กว่าประเทศ ดังนั้นเราก็ควรรักษาสิทธิมนุษยชนของทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะถูกตั้งข้อหาอะไร เขาเป็นคนมีสัญชาติหรือไม่มีหรือศาสนาใด เขาต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน” นางเตือนใจ กล่าว