เปิด 5 โทษ "ลงทัณฑ์ทหาร" ห้ามแตะเนื้อต้องตัว!

เปิด 5 โทษ "ลงทัณฑ์ทหาร" ห้ามแตะเนื้อต้องตัว!
การเสียชีวิตของ พลทหาร ยุทธกินันท์ บุญเนียม ทหารเกณฑ์สังกัดมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดีรังสิต จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างถูกขังคุกทหารเพื่อลงโทษ เนื่องจากทำผิดวินัย ไม่ใช่กรณีแรกที่มีทหารเกณฑ์ต้องสังเวยชีวิตจากการลงทัณฑ์ทางทหาร
ย้อนกลับไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อปีที่แล้ว เพิ่งเกิดกรณีพลทหาร 2 นาย สังกัดค่ายพยัคฆ์ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษจนถึงตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยผู้เสียชีวิตคือ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด ชาวอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2554 พลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งจบการศึกษาถึงระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สังกัดค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ก็ถูกลงโทษและทำร้ายจนตาย ขณะนี้ยังเป็นคดีความกันอยู่ และผู้บังคับกองร้อยที่รับผิดชอบขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นลูกนายทหารชั้นนายพล เพิ่งถูกสั่งพักราชการไปเมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากมีกระแสข่าวและสื่อสังคมออนไลน์กดดัน
เมื่อเกิดกรณีพลทหารถูกลงโทษจนตาย มักกลายเป็นข่าวครึกโครม เพราะสังคมเชื่อมาตลอดว่าการสอบสวนเอาผิดผู้กระทำมักเป็นไปได้ยาก เข้าทำนอง “เขตทหารห้ามเข้า” เหมือนกรณีพลทหารวิเชียร ที่ผ่านมา 5-6 ปีแต่คดีมีความคืบหน้าช้ามาก
พ.ร.บ.วินัยทหาร >http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=law2&folderName=%c721&lawPath=%c721-20-9999-update
จริงๆ แล้วการลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัย ไม่ใช่จะทำได้ตามอำเภอใจในฐานะผู้มีอำนาจหรือมียศเหนือกว่า แต่ทุกอย่างถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 ซึ่งยังคงบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
“พฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยทหาร” เนื้อหาในกฎหมายกำหนดตัวอย่างการกระทำผิดวินัยทหารเอาไว้ 9 ประการ ได้แก่
1. ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน
2. ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย
3. ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร
4. ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร
5. เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ
6. กล่าวคำเท็จ
7. ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร
8. ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ
9. เสพเครื่องดองของเมาจนถึงเสียกิริยา
“การลงทัณฑ์ 5 สถาน”
เมื่อทหารกระทำผิดวินัย ก็จะต้องถูกลงทัณฑ์ ซึ่งทัณฑ์ที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดนั้น กำหนดไว้ 5 สถานเท่านั้น คือ 1.ภาคทัณฑ์ 2.ทัณฑกรรม 3.กัก 4.ขัง และ 5.จำขัง กฎหมายยังได้นิยามความหมายของทัณฑ์แต่ละประเภทเอาไว้ด้วยอย่างชัดเจน ได้แก่
ภาคทัณฑ์ คือ ผู้กระทำผิดมีความผิดอันควรต้องรับทัณฑ์สถานหนึ่งสถานใดใน 5 สถาน แต่มีเหตุอันควรปราณี จึงเป็นแต่แสดงความผิดของผู้นั้นให้ปรากฏ หรือให้ทำทัณฑ์บนไว้
ทัณฑกรรม คือ ให้กระทำการสุขา การโยธา ฯลฯ เพิ่มจากหน้าที่ประจำซึ่งตนจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว หรือปรับให้อยู่เวรยามนอกจากหน้าที่ประจำ
กัก คือ กักตัวไว้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งตามแต่จะกำหนดให้
ขัง คือ ขังในที่ควบคุมแต่เฉพาะคนเดียวหรือรวมกันหลายคนแล้วแต่คำสั่ง
จำขัง คือ ขังโดยส่งไปฝากให้อยู่ในความควบคุมของเรือนจำทหาร
กฎหมายยังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า นอกจากทัณฑ์ 5 สถานนี้แล้ว ห้ามมิให้คิดขึ้นใหม่ หรือใช้วิธีลงทัณฑ์อย่างอื่นเป็นอันขาด
“ทีมล่าความจริง” ได้ข้อมูลจากนายทหารในกองทัพบกว่า การสั่งยึดพื้นหรือวิ่งเพื่อลงโทษนั้น ไม่ใช่การลงทัณฑ์ แต่ถือเป็นการ “ปรับปรุงวินัย” จะใช้กับการทำกระผิดวินัยเล็กน้อย หรือใช้ควบคู่กับโทษทางวินัย 5 สถาน เช่น หากทหารหนีเที่ยว ก็จะเข้าพฤติกรรมผิดวินัยในหัวข้อ “ละทิ้งหน้าที่ราชการ” ก็อาจถูกสั่งลงทัณฑ์สถานใดสถานหนึ่งใน 5 สถาน พร้อมปรับปรุงวินัยไปพร้อมกัน แต่การปรับปรุงวินัย มีท่าพื้นฐานให้ทำได้เพียง 3 ท่าเท่านั้น คือ ยึดพื้น, สก๊อตจัมพ์ และวิ่ง
ส่วนการปรับปรุงวินัยโดยใช้ท่าแปลกๆ นั้น นายทหารจากกองทัพบกอธิบายว่า บางหน่วยที่เป็นหน่วยรบ หรือหน่วยที่ต้องใช้การฝึกอย่างหนัก อาจเพิ่มท่าการปรับปรุงวินัยนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ได้ เช่น ม้วนหน้า / ปั่นจิ้งหรีด / แทงปลาไหล แต่หลักการก็คือต้องไม่ถูกเนื้อต้องตัวผู้ที่ถูกลงทัณฑ์หรือปรับปรุงวินัย เหตุผลก็เพื่อป้องกันการลุกลามบานปลายจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาและละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งหมดนี้คือหลักการการลงทัณฑ์ทหาร ทั้งที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย และรูปแบบการปฏิบัติ ซึ่งต้องเน้นย้ำกันว่า มีกฎเหล็กห้ามถูกเนื้อต้องตัวกัน ฉะนั้นการเตะ ต่อย ซ้อม กระทืบ หรือการทรมานแบบใดๆ ก็ตาม ล้วนผิดกฎหมาย ผู้ที่สั่งการย่อมมีความผิดทั้งทางอาญาและวินัย