พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้าการให้บริการระบบเยี่ยมญาติทางไกลกับผู้ต้องขังโดยผ่าน Application Line ว่าขณะนี้ได้เปิดให้บริการแล้ว 111 เรือนจำจากทั้งหมด 143 เรือนจำซึ่งมีเสียงตอบรับที่ดีจากครอบครัวและญาติผู้ต้องขังทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกด้วยการเปิดให้บริการรับเงินฝากผู้ต้องขังผ่านธนาคารพาณิชย์ (E-Banking) ซึ่งได้เปิดบริการมาแล้ว 3 เดือน โดยมีญาติผู้ต้องขังมาใช้บริการเป็นจำนวนเงินฝากทั้งสิ้น 2,039,278 บาทอย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ตั้งเป้าให้ในปีงบประมาณ 2562 จะติดตั้งระบบ E-Banking ให้กับเรือนจำเพิ่มอีก 21 แห่ง
นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์มีนโยบายจะก่อสร้างเรือนจำแห่งใหม่แทนเรือนจำเก่า 5 แห่ง พร้อมทั้งสร้างสถานที่ควบคุมผู้ต้องขังคดีเด็ดขาด กำหนดโทษไม่เกิน 2 ปี พร้อมทั้งทำเรือนจำความมั่นคงต่ำในกลุ่มจังหวัดอย่างน้อย 1 แห่ง โดยการนำพื้นที่ว่างในเรือนจำใช้เป็น เขต” NO GO “กั้นรั้วตาข่าย เพื่อแยกเป็นสถานที่เตรียมความพร้อมก่อนปล่อยสำหรับผู้ต้องขังโทษไม่เกิน 2 ปี ไม่ให้ปะปนกับผู้ต้องขังกลุ่มอื่น ซึ่งจะเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ รวมทั้งการสร้างโรงพยาบาลราชทัณฑ์แห่งที่ 2 และการสร้างที่พักสำหรับข้าราชการด้วย
พ.ต.อ.ณรัชต์ ยังกล่าวผลการเข้ารับการผ่าตัดโรคหมอนรองกระดูกอักเสบของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ผู้ต้องขังในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่รพ.ตำรวจ ว่า หลังจากที่นายบุญทรงเข้ารับการผ่าตัดโรงหมอนรองกระดูกอักเสบและได้พักฟื้นเพื่อทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลตำรวจระยะหนึ่ง กรมราชทัณฑ์ได้มีหนังสือทวงถามถึงอาการนายบุญทรงไปยังโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมระบุว่าหากนายบุญทรงอาการดีขึ้นและร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วให้ส่งตัวกลับมาพักรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หากมีความจำเป็นต้องนำตัวออกไปทำกายภาพบำบัด หรือตรวจรักษาอาการต่อเนื่อง แพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจสามารถทำหนังสือขอตัวออกไปรักษาได้เป็นครั้งคราวตามความจำเป็นเนื่องจากกรมราชทัณฑ์มีนโยบายชัดเจนไม่ให้นักโทษออกไปพักรักษาอาการป่วยยังโรงพยาบาลภายนอกนานเกินความจำเป็น หรือนานเกินสมควร ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจได้อนุญาตให้รับตัวนายบุญทรงกลับมาพักฟื้นต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
