ผู้สมัครส.ส.ปชป. ถอนฟ้อง 'วีระฯ-จตุพร-ณัฐวุฒิ' ก่อนศาลฎีกาตัดสิน
"วัชระ เพชรทอง" ผู้สมัครส.ส.ปชป. ยื่นชั้นฎีกาขอถอนฟ้องคดี "วีระกานต์-จตุพร-ณัฐวุฒิ" แม้ชนะ2ศาล ระบุเจรจาตกลงกัน ลุ้นศาลฎีกานัดฟังคำสั่งใหม่ถอน-ไม่ถอน
12 มี.ค.62 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4977/2555 ที่ นายวัชระ เพชรทอง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 46 พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) , นายจตุพร พรหมพันธุ์ อายุ 54 ปี ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ และอดีตประธาน นปช. , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 44 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 7 พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และอดีตแกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328, 332, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีเมื่อวันที่ 27 พ.ย.52 จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี ได้กล่าวในรายการว่า โจทก์พิมพ์หนังสือชื่อ สมัคร จาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินีทักษิณ ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว และยังพูดให้คนเสื้อแดงไปคุกคามโจทก์ที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย
โดยศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษา ให้จำคุกคนละ 1 ปีและปรับคนละ 50,000บาท โดยโทษจำคุกศาลเห็นว่าพฤติการณ์ยังไม่ร้ายแรง จึงให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี แต่ให้จำเลยร่วมกันชดใช้จากการทำละเมิดโจทก์เป็นเงิน 600,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันที่ 29 ธ.ค.55 และให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.ไทยโพสต์ , คมชัดลึก และแนวหน้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยทั้งสาม ชำระค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย 10,000 บาท โดยฝ่ายโจทก์ ยื่นฎีกา
ซึ่งวันนี้ นายวีระกานต์ , นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ จำเลยที่ 1-3 และทนายความเดินทางมาศาล พร้อมฟังคำพิพากษา ขณะที่ฝ่ายโจทก์ มีผู้รับมอบฉันทะจากทนายความ มาศาล
แต่เมื่อถึงเวลานัดปรากฏว่า ผู้รับมอบฉันทะทนายความโจทก์ ได้นำคำร้องขอถอนฟ้องมายื่นต่อศาลอ้างว่า เนื่องจากโจทก์และจำเลยทั้งสามได้พูดคุย เจรจาไกล่เกลี่ยจนเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว โดยจำเลยทั้งสาม รับข้อเท็จจริงว่าหนังสือที่โจทก์เขียนชื่อ สมัคร จาบจ้วงป๋าเปรม กับนอมินีทักษิณ นั้นได้ตีพิมพ์ในขณะที่นายสมัคร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตีพิมพ์ในขณะที่นายสมัครถึงแก่อสัญกรรม และจำเลยทั้งสามยินดีนำข้อความดังกล่าวโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และลงโฆษณาใน นสพ.ไทยโพสต์ เป็นเวลา 2 วันติดต่อกัน โดยโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งกับจำเลยทั้งสามอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องคดี
อย่างไรก็ดี ศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม จึงไม่อาจอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ได้ โดยให้รวมคำร้องขอถอนฟ้องนี้ เข้ากับสำนวนคดีแล้วส่งคืนให้ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลชั้นต้น ได้รวบรวมเอกสารคำร้องขอถอนฟ้องคดีกับสำนวนคดีทั้งหมดให้ศาลฎีกาแล้ว จึงยังไม่ได้กำหนดนัดฟังคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอถอนฟ้องดังกล่าว ซึ่งต้องรอให้ศาลฎีกาพิจารณาคำขอถอนฟ้องคดีจนแล้วเสร็จ จึงจะกำหนดวันนัดฟังคำสั่งคดีนี้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า คดีนี้นายวัชระ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2555 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย.52 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1-3 ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ ที่ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี จัดรายการ กล่าวหาว่า โจทก์ พิมพ์หนังสือชื่อ สมัคร จาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินีทักษิณ ขึ้นมาใหม่หลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว โดยพวกจำเลยให้คนเสื้อแดงไปคุกคามโจทก์ที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย และมีการนำรายการที่ออกอากาศเผยแพร่ในเว็บไซต์ ไทยพีพีทีวีด้วย ทั้งที่หนังสือดังกล่าวได้พิมพ์เผยแพร่ ที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 23 มี.ค.51 โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพาณิช เป็นประธานในพิธีเปิดตัวหนังสือฉบับนี้ ร่วมกับนายปรีชา สามัคคีธรรม ก่อนที่นายสมัครจะถึงอสัญกรรม
โดยจำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ิ ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ก.ย.58 ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 ปี และปรับคนละ 50,000 บาท ตาม ม.328 และ 332 แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยแล้วเห็นว่าไม่ร้ายแรง จึงให้รอการลงโทษจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี และให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการทำละเมิดโจทก์จำนวน 600,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันที่ 29 ธ.ค.55 และให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.ไทยโพสต์ , คมชัดลึก และแนวหน้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยทั้งสาม ชำระค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย 10,000 บาท
ต่อมาโจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์ ก็มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 12 ต.ค.59 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าการจัดรายการโทรทัศน์ ต้องมีการซ้อมก่อนว่าใครจะพูดอะไร และต้องมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนออกอากาศ เพราะหากผิดพลาดจะเสียหายในวงกว้าง จากข้อความที่จำเลยทั้งสามจัดรายการก็เป็นการกล่าวรับกันเป็นช่วงๆ โดยตกลงกันไว้ก่อน ซึ่งระบุชื่อโจทก์ว่าจงใจนำรูปนายสมัคร มาทำปกหนังสือ และการใช้ถ้อยคำกล่าวถึงโจทก์ว่าเป็นคนไม่ดีย่อมแสดงเจตนาของคนกล่าวได้ว่าต้องการยั่วยุให้ผู้รับฟังเข้าใจผิด ถูกดูหมิ่นเกลียดชังในตัวโจทก์ ไม่ได้เป็นการเตือนสติโจทก์ตามที่จำเลยอ้าง นอกจากนี้หลังจัดรายการปรากฏว่า วันถัดมามีผู้ชุมนุมหลายร้อยคนไปชุมนุม ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ข่มขู่ให้โจทก์ขอขมาศพนายสมัคร และครอบครัว
ส่วนกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่นำคำกล่าวในรายการ มาลงในเว็บไซต์นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จึงยังไม่อาจรับฟังได้