ปูนบำเหน็จ ด้วยเก้าอี้ 'ส.ว.'
สัปดาห์นี้ อุณหภูมิการเมืองมีทีท่าว่าจะพุ่งสูงขึ้นตามอุณหภูมิอากาศบ้านเรา เริ่มด้วย กกต. จะประกาศรับรอง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ผ่านมา ใครได้เข้าหรือไม่ได้เข้าสภา คงจะได้เห็นกัน
ถัดจากนั้นอีก 3 วัน รายชื่อ 250 ส.ว. ที่จะดำรงตำแหน่ง 5 ปี จะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งหลายต่อหลายคนก็เป็นผู้ที่ทำงานให้ “รัฐบาลคสช.” มาด้วยกันทั้งสิ้น
มีทั้งคนใน “ครม.-สนช.-สปท.-สปช.” หรือแม้แต่บรรดาข้าราชการเกษียณอายุ และอื่นๆ ก็ถูกวางตัวไว้ในสภาสูงด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่า สภานี้เต็มไปด้วยคนกันเองทั้งสิ้น
แต่คนหนึ่งที่มีการพูดกันหนาหู ว่าจะมานั่งประธานส.ว. ก็คือ “นายพรเพชร วิชิตชลชัย” ประธาน สนช. นั่นเอง อีกคนที่ไม่ยอมปริปากบอกถึงอนาคตตัวเอง คือ “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ที่คุมงานกฎหมายใน “รัฐบาลคสช.” มาตั้งแต่ต้น ก็ถูกจับตาเช่นเดียวกันว่าจะกระโดดไปรับตำแหน่งส.ว.ด้วย
ถือเป็นการปูนบำเหน็จให้ขุนพลที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ทำงานภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ การปูนบำเหน็จ 250 คนครั้งนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ พวกเขามีภารกิจสำคัญอีกอย่างคือเป็นเสาค้ำอำนาจ “รัฐบาลใหม่” นานถึง 5 ปี
หากการเดินหมากไม่มีอะไรผิดแผน การจัดตั้งรัฐบาล คงเป็น “พลังประชารัฐ” เดินหน้าถือธงนำแน่นอน ส่วนพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาล คาดว่าคงรู้กันหมดแล้ว เพียงแต่รอเวลาเปิดตัวยืนหน้ากระดานชูมือเท่านั้น
ส่วนการโหวตนายกฯ จะมีใครนอนมาได้อย่าง “บิ๊กตู่” ทุกอย่างปูทางรอไว้แล้ว แต่ที่ยังน่าห่วงโดยเฉพาะกับคนใน “พลังประชารัฐ” หนีไม่พ้นโควตาเก้าอี้รัฐมนตรี ที่แน่นอนว่าต้องเอาใจพรรคร่วมให้ชี้นิ้วเลือกก่อน แล้วที่เหลือเป็นเก้าอี้ใดบ้างก็ค่อยมาว่ากัน บางคนในพรรคจึงเหมือนทำใจไว้แล้วว่าได้เก้าอี้กระทรวงไหนก็ได้ งานนี้มีแววเห็นคนสมหวัง และคนอกหักอีกตามเคย
หลังจากมีรัฐบาลใหม่ในช่วงมิ.ย.นี้ ถัดจากนั้นไม่กี่เดือน สนามเลือกตั้งเมืองหลวง “ผู้ว่าฯกทม.” น่าจะเกิดขึ้นตามมา ดูเหมือนหลายพรรค จะประหม่าอยู่เหมือนกัน แม้รู้มาตั้งนานแล้วว่า “เพื่อไทย” วางตัว “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เป็นตัวยืน แต่ละพรรคเลยมีโจทย์ในการเฟ้นหาตัวบุคคลที่จะส่งลงสู้ศึก คือต้องขับเขี้ยวกับ “ชัชชาติ” ได้แบบปอนด์ต่อปอนด์ไม่ห่างชั้นให้ดูน่าเกลียด
การจะเลือกคนหน้าเก่าในเวทีการเมือง จับประแป้งแต่งตัวใหม่ ผันตัวจากสนามใหญ่มาลุยสนามนี้ อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะผลการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 คงเห็นกันแล้วว่า สนามกทม. อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะ “กทม.” ถึงเวลาเปลี่ยนมานานแล้ว แต่สิ่งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็นภายใต้ฝีมือคนที่ผ่านมาสักเท่าไหร่เลย
คนเมืองกรุงฯ เบื่อเต็มทีกับอะไรเดิมๆ คุณภาพชีวิตมีแต่ถดถอย รถติด น้ำท่วมขังอย่างไร ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ที่ผ่านมา เวลาฝนตกทีสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้คือการภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คนเป็นพ่อเมือง ..คนกรุงฯ คงถวิลหาของใหม่ คนใหม่ การคิดและการทำงานแบบใหม่ พรรคไหนพร้อมตอบโจทย์ ไม่ขายฝัน ว่ากันมาได้เลย