'ครม.ประยุทธ์2/1' และคำมั่นสัญญา
หลังพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 11 มิ.ย. ต้องถือว่าประเทศไทย เริ่มนับหนึ่งเข้าสู่รัฐบาลใหม่
ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนที่29 (ลำดับที่30) ที่ชื่อว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สิ่งที่จะต้องติดตามหลังจากนี้คือการฟอร์มทีม “ครม.ประยุทธ์2/1” ที่มีการคาดว่าจะได้เห็นโฉมหน้าทั้ง 35 คนภายในเดือนนี้ และหลังจากที่นายกฯนำครม.ชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ทั้ง36คน (รวมนายกฯ) ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์และเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ โดยรัฐธรรมนูญระบุให้รัฐบาลต้องแถลงผลงานภายใน15วันนับแต่วันถวายสัตย์ฯ
ต้องยอมรับว่า การหวนคืนตึกไทยคู่ฟ้าในฐานะ “ประมุขฝ่ายบริหาร” ของ “บิ๊กตู่” ถือเป็นการเริ่มต้นบททดสอบบทใหม่ที่ต่างจาก5ปีที่ผ่านมา ทั้งการบริหารราชการแผ่นดินในสภาวะที่ไร้อำนาจออกคำสั่งมาตรา44 ,สภาวะ “รัฐบาลผสม” 19 พรรค ที่มีโอกาสเกิดการต่อรองระหว่างรัฐบาลและพรรคร่วมอยู่ไม่มากก็น้อย เห็นได้จากการจัดสรรโควตารัฐมนตรีที่กว่าจะลงตัวก็เล่นเอาเหงื่อตก
อีกสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้เส้นทางของ “รัฐบาลประยุทธ์2” ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนั่นคือ การบริหารงานในสภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” โดยเฉพาะการออกกฎหมายสำคัญเช่นพ.ร.บ.งบประมาณซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนก.ย.ที่จะถึงนี้ เพราะหากนับเสียงส.ส.ที่รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐมีอยู่ในมือคือ 254 เสียงพบว่า มีเสียงทิ้งห่างฝ่ายค้านที่มี246เสียงเพียง 8 เสียง การลงมติในแต่ละครั้งเรียกได้ว่า “ห้ามป่วย-ห้ามลา-ห้ามขาด” เพราะเพียงแค่1เสียงก็อาจส่งผลให้เกมในสภาพลิกได้
ทว่าในสภาวะเสียงปริ่มน้ำนี้เอง ทางรัฐบาลพปชร.ยังคงมั่นใจว่าจะถือเป็นโอกาสสำคัญในการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” เพื่อขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้
นับจากวันนี้เป็นต้นไปประเทศไทยจะเริ่มนับหนึ่งสู่รัฐบาลใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสิ่งที่ประชาชนคาดหวังหลังจากนี้คือการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆดัง “คำมั่นสัญญา” ที่“พล.อ.ประยุทธ์” ให้ไว้ว่า“จะนำพาสู่ความสงบร่มเย็น มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป”!!