ถล่ม 15 ศพ ชรบ. ประเมิน 4 ปัจจัย ไฟใต้ระลอกใหม่

ถล่ม 15 ศพ ชรบ. ประเมิน 4 ปัจจัย ไฟใต้ระลอกใหม่

5 พ.ย.62 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลุ่มก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เปิดปฏิบัติการโจมตีที่ก่อความสูญเสียครั้งใหญ่ คนร้ายล็อคเป้า “จุดตรวจ ชรบ.” ใน ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา เป็นเป้าหมาย และทำร้ายชีวิตประชาชนไปมากถึง 14-15 ราย บาดเจ็บอีก 4-5 คน

“ลำพะยา” เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองยะลา เป็นเขตติดต่อกับ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี อ.ยะหา จ.ยะลา และ ต.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา เวลาเดินทางจากปัตตานีจะเข้าไปที่ยะลา ต้องผ่าน ต.ลำพะยา ก่อนเข้าเขตตัวเมือง

ที่มาของคำว่า “ลำพะยา” จากเว็บไซต์ของ ThaiTambon.com ระบุว่า แต่เดิมเจ้าพระยาปัตตานีได้ใช้พื้นที่ตำบลลำพะยา เป็นที่พักผ่อนและทรงโปรดการคล้องช้างเป็นอย่างมาก จึงให้สร้างที่พักขึ้นบริเวณหมู่บ้านทำเนียบ ตำบลลำพะยาในปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกที่พักเจ้าพระยาปัตตานีแห่งนี้ว่า “ทำเนียบ” ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดสิริปุณณาราม (วัดลำพะยา) บ้านทำเนียบนี้ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของตำบลลำพะยา โดยการคล้องช้างในสมัยนั้นจะนำช้างมาล่ามไว้ที่บ้านทำเนียบ จนชาวบ้านเรียกกันว่า “ที่ล่ามช้างของพระยา” และต่อมาคำพูดนี้จึงกร่อนสั้นลงเหลือเป็นคำว่า “ลำพะยา”

ชรบ.หรือ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ซึ่งเป็นกองกำลังภาคประชาชนที่ฝ่ายความมั่นคงสนับสนุนให้จัดตั้งขึ้น ในภารกิจ “ให้ประชาชนดูแลกันเอง และดูแลพื้นที่ของตนเอง” เพื่อรองรับนโยบายถอนทหารหลักออกจากพื้นที่ และส่งมอบพื้นที่ให้ประชาชนดูแล

อ่านข่าว : ยะลาเดือด! ถล่มป้อมชรบ. เสียชีวิต 14 ราย

157321075635

ชรบ.เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย หรือ รปภ.พื้นที่ขนาดเล็กที่สุด รับผิดชอบพื้นที่หมู่บ้านของตนเอง กองกำลังของ ชรบ. เป็นประชาชนในหมู่บ้านนั้นๆ โดยมีผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) เป็นแกนหลัก ร่วมกับสมาชิกองค์กรปกครองท้องถิ่น และประชาชนจิตอาสา ทั้งหมดได้รับการฝึกอบรม และการสนับสนุนด้านอาวุธจากภาครัฐ

ชรบ.มีกระจายอยู่แทบทุกหมู่บ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ที่มีสถานการณ์ความไม่สงบ ด้านหนึ่งแม้จะทำให้การดูแลความปลอดภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีเช่นกัน และทุกครั้งที่มีความสูญเสีย คนที่ต้องสังเวยชีวิตก็คือประชาชนในหมู่บ้าน รวมถึงฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หรือ ผรส. และสมาชิกองค์กรปกครองท้องถิ่น ดังเช่นที่ปรากฏรายชื่อผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี ชรบ.ทางลุ่ม ในพื้นที่ ต.ลำพะยา อ.เมืองยะลา เมื่อคืนวันที่ 5 พ.ย.62

ในช่วงปีหลังๆ นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ฝ่ายความมั่นคงเริ่มจัดตั้งกองกำลังภาคประชาชนในหน่วยที่ใหญ่ขึ้นกว่า ชรบ. เพื่อเสริมความเข้มข้นในการดูแลพื้นที่ เรียกว่า “ชุดคุ้มครองตำบล” หรือ ชคต. โดยตามแผนการจัดตั้ง จะมี ชคต.ครอบคลุมพื้นที่ 288 ตำบลของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา จนถึงปัจจุบันตั้งไปแล้ว 164 ชคต.

157320885026

โดย "ชุดคุ้มครองตำบล" ประกอบกำลังจาก อส. ทหารพราน และ ชรบ. ปฏิบัติหน้าที่ดูแลพื้นที่และรักษาความปลอดภัยในระดับตำบล ทั้ง รปภ.ครู ดูแลสถานที่ราชการ และตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อชุดคุ้มครองตำบลถูกโจมตี ก็มักจะมีกองกำลังภาคประชาชน โดยเฉพาะ อส. และ ชรบ. บาดเจ็บล้มตายเช่นกัน

อย่างเช่นเหตุการณ์รุนแรง 2 ครั้งล่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา คือเมื่อวันที่ 23 ก.ค.62 คนร้ายบุกโจมตีจุดตรวจและฐานปฏิบัติการ ชคต.บ้านกอแลปิเละ ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ทำให้ทหาร ชรบ. และ อส. เสียชีวิตรวม 4 นาย

16 ก.ย.62 คนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ขณะทำหน้าที่ รปภ.ครูกลับบ้าน ทำให้ อส.เสียชีวิต 2 นาย

ขณะที่เหตุการณ์วันที่ 5 พ.ย.62 คนร้ายล็อคเป้าไปที่จุดตรวจ ชรบ. และสาเหตุที่มีความสูญเสียมากถึงกว่า 10 ราย เพราะคนร้ายน่าจะทราบข้อมูลภายในว่า ทุกๆ วันอังคาร ชรบ.ทั้งหมดใน ต.ลำพะยา จะมารวมตัวกันตั้งจุดตรวจและปรึกษาหารือกันที่ฐานปฏิบัติการย่อยของ ชรบ.ทางลุ่ม ต.ลำพะยา ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุสลด

ปัจจุบันพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา มีกองกำลังภาคประชาชนที่ผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานความมั่นคงจำนวน 95,974 คน แยกเป็น ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) อรม. (อาสาสมัครรักษาเมือง) ทสปช. (สมาชิกไทยอาสาป้องกันชาติ) และ อปพร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) โดย ชรบ.มีจำนวนมากที่สุด

กองกำลังภาคประชาชนเหล่านี้ ทำงานและปฏิบัติภารกิจร่วมกับทหาร ตำรวจ และ อส. อีกจำนวน 39,465 นาย เพื่อดูแลพื้นที่ในภาพรวม และทยอยส่งมอบพื้นที่ให้ประชาชนดูแลกันเอง แยกเป็นทหารหลักและทหารพราน 24,004 นาย ตำรวจ 9,809 นาย และพลเรือน อส. 5,652 นาย (ข้อมูลปีงบประมาณ 2561)

สำหรับสาเหตุที่คนร้ายเลือกปฏิบัติการความรุนแรงเพื่อโจมตี ชรบ. จนก่อความสูญเสียอย่างมากมายครั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงประเมินและวิเคราะห์ในเบื้องต้นว่า มาจากปัจจัยอย่างน้อยๆ 4 ประการ คือ

157320892598

1. ช่วงที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงมุ่งคุมเข้มและสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบและผู้ไม่หวังดีจากพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เพื่อป้องกันการก่อเหตุนอกพื้นที่ เช่น ในกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในฐานะะประธานอาเซียนส่งท้ายปี ก่อนส่งมอบหน้าที่ให้เวียดนาม ทำให้มีการทุ่มกำลังไปเพื่อภารกิจนี้ ขณะที่ฝ่ายผู้ก่อความไมส่งบรอฉวยโอกาสอยู่แล้ว จึงเลือกปฏิบัติการโจมตีในพื้นที่แทน และเลือกกองกำลังภาคประชาชนที่มีมาตรการรับมือและทักษะการใช้อาวุธน้อยกว่าทหาร ตำรวจ

2. ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นน้อยมาก แต่มีข่าวแจ้งเตือนว่าจะมีการก่อเหตุต่อชุมชนไทยพุทธ และกองกำลังภาคประชาชนมาโดยตลอด เหมือนคนร้ายรอจังหวะและโอกาส

3. ท่าทีของผู้นำมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮาหมัด ที่พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ยืนยันไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน และจะเพิ่มความร่วมมือในการลาดตระเวนร่วมเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายคนและยุทโธปกรณ์ตามแนวชายแดน อาจทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบไม่พอใจ และต้องการก่อเหตุแสดงศักยภาพ

157320926666

- ภาพ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ระหว่างการเข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2561 -

4. มีข่าวการเตรียมพบปะหารือระหว่างหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายรัฐบาลไทย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยของรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อเดินหน้ากระบวนการพูดคุยรอบใหม่ และมีข่าวการกดดันให้กลุ่มบีอาร์เอ็นสายฮาร์ดคอร์ หรือตัวแทนกลุ่มติดอาวุธเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย อาจเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องสร้างสถานการณ์เพื่อแสดงศักยภาพ และเพิ่มอำนาจต่อรอง

มีการตั้งข้อสังเกตจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่า ช่วงหลายปีหลังมานี้ การก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่มักมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวเรื่องกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข และความเคลื่อนไหวของต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซีย ที่เกี่ยวกับแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้