ถอดรหัส '6ส.ส.ปชป.' สะท้อนศึกในยังกรุ่น!!!
ถือเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะ ที่ทำให้รัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน กรณีญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) เพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 จนสภาล่ม 2 ครั้งซ้อน
แรกๆ โฟกัสจับไปที่ “วิปรัฐบาล” เป็นแพะรับบาป ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ รวมถึงในวันนั้น มี ส.ส.พรรคร่วม หลายคนขาดประชุมด้วยเหตุจำเป็นก็จริง แต่ก็ไม่น่าเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลแพ้โหวตได้ ถ้า 6 ส.ส. จากประชาธิปัตย์ ยึดมติ “วิปรัฐบาล” ที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.ชุดดังกล่าว
แม้ทั้ง 6 ส.ส. จะอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าของญัตติก็ตาม แต่โดยประเพณี มติวิปฯ ต้องมาก่อนเสมอ
แว่วมาว่า แกนนำวิปฯ ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับทั้ง 6 ส.ส. ก่อนโหวตแล้ว ก็คิดว่าจะเปลี่ยนใจ แต่ที่ไหนได้ ทุกคนกลับยิ่งแน่วแน่ว่าถึงอย่างไรก็จะแหกมติวิปฯ จนหมดความหมาย แล้วแบบนี้ใครจะไปคุมอยู่
ว่ากันว่า เบื้องหลังเสียงโหวต 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ นั้น ไม่ได้มีนัยยะว่า ต้องการจะเช็กบิล อะไร “บิ๊กตู่” เป็นสำคัญขนาดนั้น นอกจากอาจจะหวังต่อรองอะไรบางอย่าง
เมื่อดู 6 รายชื่อ “เทพไท เสนพงศ์” ส.ส.นครศรีธรรมราช “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรัง “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี “ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์” ส.ส.ตาก “กันตวรรณ ตันเถียร” ส.ส.พังงา และ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้มองเห็นหลายเงื่อนไข
ตั้งแต่ต้องการกดดัน “บิ๊กรัฐบาล” กรุยทางให้“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็น “ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยเฉพาะจาก “เทพไท” ที่ใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นทั้ง 6 เสียงดังกล่าว อาจสะท้อนได้ดีถึงศึกใน “ประชาธิปัตย์” ที่ยังกรุ่นมาตั้งแต่ศึกชิง “หัวหน้าและเลขาฯ พรรค”
เพราะเมื่อสแกนชื่อทั้ง 6 คน จะเห็นได้ถึงกลุ่มก๊วน แต่ละขั้วใน “ประชาธิปัตย์” ที่ชัดเจนขึ้น ว่า ใครอยู่ข้างใคร หรือใครไม่ถูกกับใคร
การสร้างแรงกระเพื่อมจากการโหวตสวนมติวิปฯ ที่เกิดขึ้น อาจหวังผลมากกว่า 1 อย่าง และไม่แน่ว่าการเดินเกมครั้งนี้ อาจมีเป้าใหญ่เพื่อขย่มเก้าอี้เสนาบดีของใครบางคนเลยทีเดียว
และคงไม่เฉพาะในทางการเมืองเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ที่เคยผิดหวังจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาแล้ว แล้วยังต้องมานั่งรออะไรบางอย่าง คงไม่ใช่เรื่องสนุก การเคลื่อนไหวด้วยวิธีการบางอย่าง อาจทำให้อะไรๆ มาถึงเร็วขึ้น ในจังหวะที่เนื้อใน “ประชาธิปัตย์” ยังไม่สมานเป็นเนื้อเดียวกัน
ดังนั้น ไม่แน่ว่า “เก่าไปใหม่มา” อาจจะได้เห็นในไม่ช้า