16 ปีไฟใต้...เมื่อกลไกสภาขึงขัง ระวังเป็น 'จุดตาย' รัฐบาล
วิกฤตการณ์ไฟใต้ เดินทางมาครบ 16 ปีเต็มเมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายของประวัติศาสตร์ไฟใต้รอบใหม่ เพราะวันที่ 4 มกราคม 2547 เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งมโหฬาร จำนวน 413 กระบอก จากค่ายทหารใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
นับจากนั้น ก็มีการก่อเหตุรุนแรงรายวันรูปแบบต่างๆ ในลักษณะอาชญากรรมความไม่สงบ ทั้งยิง ทั้งเผา ทั้งระเบิด ทั้งก่อกวน ผสมโรงกับความรุนแรงอื่นๆ ที่เกิดอยู่แล้วในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์และปัญหาการเมืองท้องถิ่น
16 ปีไฟใต้ เกิดเหตุความไม่สงบมาแล้ว 10,119 เหตุการณ์ มีผู้ที่ต้องสังเวยชีวิต 4,083 ราย บาดเจ็บ 10,818 ราย ที่น่าตกใจคือกว่าครึ่งของทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบจากความรุนแรงทำให้มี “เด็กกำพร้า” จำนวนมากมายในพื้นที่ โดยหากนับเฉพาะเด็กที่สูญเสียพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่จากสถานการณ์ความไม่สงบ และในวันเกิดเหตุอายุไม่เกิน 25 ปี พบว่ามีทั้งสิ้น 7,297 คน แยกเป็น จ.ปัตตานี 2,657 คน ยะลา 1,914 คน นราธิวาส 2,513 คน และสงขลา 213 คน
16 ปีไฟใต้ ใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท งบประมาณปีล่าสุด 2563 เฉพาะงบแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ที่ 10,865.5 ล้านบาทเกิดคำถามว่าการจัดการปัญหาสัมฤทธิ์ผลหรือไม่เพียงใด เพราะไฟใต้ยังไม่ดับมอดลงเสียที
ไล่ดูสถิติเหตุรุนแรงตลอดปี 2562 ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป พบว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบทุกรูปแบบ จำนวน 121 เหตุการณ์ ลดลงกว่าปีก่อนหน้า โดยในปี 2561 มีเหตุรุนแรงทุกประเภทอยู่ที่ 161 เหตุการณ์ และยังลดลงต่อเนื่องจากปี 2560 ที่มีเหตุรุนแรงทั้งสิ้น 178 เหตุการณ์
แต่ปัญหาก็คือ ความรุนแรงที่ยังดำรงอยู่ ทำให้เกิดความสูญเสียทุกสาขาอาชีพ หนักที่สุดคือประชาชนทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์ หนำซ้ำในปี 2562 มีผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจนต้องสูญเสียชีวิต 72 ราย สูงกว่าปีก่อนหน้าที่มีผู้เสียชีวิต 62 ราย และในจำนวน 72 รายนี้ มีพระสงฆ์มรณภาพไป 2 รูป จากเหตุการณ์คนร้ายบุกยิงพระถึงในวัดรัตนานุภาพ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส
นอกจากนั้นยังมีเหตุโจมตีป้อม ชรบ.ที่ ต.ลำพะยา จ.ยะลา มีผู้เสียชีวิตในคราวเดียวถึง 15 คน ซึ่งนับว่ามากที่สุดหากเทียบกับเหตุโจมตีป้อม จุดตรวจ และฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา
จากตัวเลขที่เห็นและเป็นอยู่ จึงยังสรุปไม่ได้ว่า ไฟใต้มีทิศทางที่ดีขึ้นจริง ยิ่งไปกว่านั้นในปี “หนูทอง” 2563 ยังมีความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้น เพราะปัญหาไฟใต้จะถูกนำไปพูดถึงในที่ประชุมสภามากกว่าเดิม เนื่องจาก ส.ส.ชายแดนใต้ 11 คน เป็น ส.ส.ฝ่ายค้านมากกว่าครึ่ง หนำซ้ำทั้งหมดยัง “แพ็ค” กันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้แยกขั้วแยกฝ่าย เห็นได้จากเวลาที่มีการอภิปรายประเด็นกฎหมายพิเศษ การละเมิดสิทธิมนุษยชน และงบประมาณดับไฟใต้
นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า 16 ปีไฟใต้ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาอยู่ในมือของกองทัพ ผ่านหน่วยงานอย่าง กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว กอ.รมน.ก็คือกองทัพบก ควบคุมทั้งงานความมั่นคง และงานพัฒนา ฉะนั้นความบกพร่องผิดพลาดในภารกิจดับไฟใต้ จึงถูกโยนให้เป็นความรับผิดชอบของกองทัพ
ด้วยเหตุนี้นปี “หนูทอง” ที่การเมืองไทยคุกรุ่นตั้งแต่เปิดศักราช กับประเด็น 6 ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่ควรทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา จึงคาดการณ์ได้เลยว่า ไฟใต้อาจกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลที่ถูกฝ่ายค้านนำมาถล่ม เพื่อยืนยันความล้มเหลวของรัฐบาลทหารซ่อนรูป ที่มีผู้นำชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้มานานถึง 12 ปี ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 1 ผบ.ทบ. หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี!
ละลาย “3 แสนล้าน” กังขาซุกงบ?
ตลอด 16 ปีไฟใต้ 17 ปีงบประมาณ มีการใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาไปแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท โดยตัวเลขงบประมาณปีล่าสุด คือปี 2563 ที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เฉพาะงบแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งไว้ที่ 10,865.5 ล้านบาท รวมตัวเลขทั้งสิ้น 313,792.4 ล้านบาท
ไล่ดูงบดับไฟใต้แต่ละปีงบประมาณ สรุปได้ดังนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า งบดับไฟใต้ในยุคที่ คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ามาเป็นรัฐบาล และจัดทำงบเอง มีทิศทางลดน้อยลงอย่างมาก คือลดลงกว่ายอดเฉลี่ยปีก่อน ๆ ที่เคยตั้งไว้ถึงกว่า 50% ทำให้เกิดคำถามว่ามีการ “ซุกงบ” หรือไม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า ทำให้ตัวเลขดูดี และกองทัพไม่ตกเป็นเป้าวิจารณ์มากนัก เนื่องจากกองทัพคือหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจดับไฟใต้ ผ่านองค์กร กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ในการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 คือปีล่าสุด ในวาระแรก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคน โดยเฉพาะ ส.ส.จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ลุกขึ้นอภิปรายในประเด็นนี้ โดยกล่าวหาว่ายังมีงบประมาณนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ฉะนั้นตัวเลขงบประมาณที่ใช้จริงในภารกิจดับไฟใต้ต่อปี น่าจะสูงถึงราว ๆ 30,000-40,000 ล้านบาท
แต่ประเด็นนี้ ฝ่ายความมั่นคงอธิบายว่า การจัดทำงบประมาณดับไฟใต้เป็น “แผนงานบูรณาการ” นั้น ดำเนินการมานานหลายปีแล้ว แต่สาเหตุที่ยุคก่อน คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง มีการตั้งงบเอาไว้สูง ก็เพราะส่วนราชการต่าง ๆ มักเสนอโครงการที่ต้องการรับการสนับสนุนงบประมาณเข้ามาในแผนบูรณาการดับไฟใต้ เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาอนุมัติ เนื่องจากเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ทุกฝ่ายอยากให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปโดยเร็ว จึงไม่มีการตรวจสอบเข้มงวดมากนัก ทั้งๆ ที่งบบางรายการไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจดับไฟใต้โดยตรง เช่น การจัดซื้ออาวุธปืนของหน่วยราชการบางหน่วย ที่ใช้ทั้งในภารกิจปกติ และอ้างว่าใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ต่อมาเมื่อ คสช.เข้ามาจัดทำงบประมาณ และมองเห็นปัญหา จึงมีการคัดกรองงบประมาณโครงการที่จะเข้าสู่แผนบูรณาการดับไฟใต้ โดยจะต้องมีการกลั่นกรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย และมีตัวชี้วัดชัดเจน ตลอดจนมีการติดตามตรวจสอบ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และองค์กรอิสระอื่นๆ ทำให้มีการกรองโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจำนวนมาก กระทั่งเหลืองบที่เสนอและมีตัวชี้วัดจริง ๆ ราวๆ 10,000 - 13,000 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนงบปกติของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ต้องมีโครงการพัฒนาตามแผนงานปกติ เหมือนพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความไม่สงบโดยตรง ก็ต้องแยกไปตั้งงบของหน่วยงานตัวเอง เช่นเดียวกับตัวเลขงบประมาณนอกแผนบูรณาการที่ ส.ส.ฝ่ายค้านอ้างถึง ซึ่งก็เป็นงบที่ตั้งไว้ของแต่ละหน่วยงานอยู่แล้วเป็นประจำทุกปี เช่น งบสร้างอาคาร งบสร้างทาง เป็นต้น เหล่านี้ไม่นับรวมอยู่ในแผนบูรณาการ
ไม่ว่าคำชี้แจงจากรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะฟังขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ปัญหาไฟใต้ในยุคนี้ ถูกตรวจสอบในสภาฯ มากขึ้น โดยเฉพาะจาก ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ที่มีจำนวนที่นั่งเกินครึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฉะนั้นโอกาสที่รัฐบาลจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นย่อมมีสูง โดยเฉพาะเมื่อภารกิจดับไฟใต้อยู่ในกำมือของกองทัพ...
และเป็นกองทัพที่มีผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.โดยตำแหน่ง และมีผู้บังคับบัญชาเป็นอดีตผู้นำกองทัพ ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน!