'วิโรจน์' แนะออก พรก.โอนงบฯ-กู้เงิน-ตั้งงบกลางปี สู้วิกฤตโควิด-19
"ก้าวไกล" ระดมความเห็นด้านเศรษฐกิจ "ศิริกัญญา" ชี้เยียวยาประชาชนต้องเสมอภาค-ถ้วนหน้า "วิโรจน์" เสนอออก พรก.โอนงบฯ - กู้เงิน - ตั้งงบกลางปี สู้วิกฤต "โควิด 19"
เมื่อวันที่ 26 มี.ค.63 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่าจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ขยายตัวไปในวงกว้าง ต้องยอมรับว่าหนึ่งในกลุ่มของผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตมากที่สุด ก็คือ กลุ่มแรงงานนอกระบบประกันสังคม ซึ่งประกอบไปด้วย แรงงานรับจ้างทั่วไป ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานรายวัน พ่อค้าแม่ขาย และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เพราะประชาชนเหล่านี้ เมื่อไม่มีงาน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง และสถานประกอบการบางแห่ง คนในกลุ่มนี้ก็จะขาดรายได้ ในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ของทั้งตนเอง และคนในครอบครัว ผสมโรงกับรายจ่าย และดอกเบี้ยจากหนี้ครัวเรือน ที่เดินหน้าเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน การเยียวยาประชาชนในกลุ่มแรงงานนอกระบบ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
พรรคก้าวไกล เห็นด้วยที่รัฐบาลออกมาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” ในการเยียวยาแรงงานนอกระบบ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน จำนวนทั้งสิ้น 3 ล้านคน ในวงเงิน 45,000 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวนี้ ประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถเข้าไปลงทะเบียนรับเงินเยียวยาได้ที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com หรือธนาคารออมสิน กรุงไทย และ ธกส. โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในวันที่ 28 มี.ค. 63 นี้ โดยหลักฐานที่ต้องใช้คือ บัตรประชาชน ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลนายจ้าง (ถ้ามี) โดยจะใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติ 5 วัน หากได้รับการอนุมัติ ก็จะโอนเงินเข้าไปยังบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน หรือบัญชีธนาคารที่ได้แจ้งเอาไว้ในระบบลงทะเบียน
ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตไว้ก็คือ วงเงินงบประมาณ 45,000 ล้านบาท นั้นอาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มแรงงานนอกระบบได้อย่างเพียงพอ ด้วยเหตุว่า หากพิจารณาจากข้อมูลจำนวนแรงงานทั้งหมดในปัจจุบันที่มีอยู่ 38.4 ล้านคน มีแรงงานอกระบบอยู่ทั้งสิ้น 18.7 ล้านคน โดยแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากโควิด-19 ก็คือ แรงงานนอกระบบในภาคบริการ และภาคการผลิต ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 9.5 ล้านคน และเมื่อรวมกับแรงงานในระบบประกันสังคม ที่ทำประกันตนเองตามมาตรา 39 และมาตรา 40 รวมถึงแรงงานในระบบประกันสังคมในมาตรา 33 ที่ยังส่งเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน ซึ่งยังไม่ได้รับสิทธิการคุ้มครองการว่างงาน) อีกประมาณ 5 ล้านคนเศษ นั่นหมายความว่า จำนวนประชาชนทั้งหมด ที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องการการเยียวยามีทั้งสิ้นประมาณ 14.5 ล้านคน
ด้วยเหตุนี้ วงเงิน 45,000 ล้านบาท ที่ใช้เยียวยาประชาชนจำนวน 3 ล้านคน นั่นเท่ากับว่าสามารถเยียวยาประชาชนได้เพียง 20.7% เท่านั้น และยังเหลือประชาชนอีก 11.5 ล้านคน ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา
ข้อสังเกตที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ การจัดพิจารณาว่าประชาชนคนใดที่สมควรได้รับการเยียวยา นั้นจะใช้เงื่อนไขในการพิจารณาอย่างไร จะพิจารณาแบบใครลงทะเบียนก่อนได้ก่อน หรือจะต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาความเดือดร้อนประกอบด้วย ซึ่งระยะเวลาในการอนุมัติที่ต้องใช้ถึง 5 วัน สำหรับประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบนั้น ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร นับตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. ที่มีมติ ครม. ให้ปิดสถานบริการ ก็มีแรงงานนอกระบบจำนวนไม่น้อยเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว นั่นหมายความว่า หากแรงงานดังกล่าวเริ่มลงทะเบียนในวันที่ 28 มี.ค. กว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยา ก็จะเป็นในอีก 5 วันถัดมา ซึ่งก็คือ วันที่ 2 เม.ย. ช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. – 1 เม.ย. จำนวน 15 วัน หรือครึ่งเดือน สำหรับลูกจ้าง หรือพนักงานรายงาน ถือว่าเป็นความเดือดร้อนที่หนักหนามาก
สำหรับข้อสงสัยจากประชาชนในประเด็นของ “งบกลาง” ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่มีวงเงินงบประมาณอยู่ที่ 96,000 ล้านบาท นั้น ในประเด็นดังกล่าวนี้ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล เพราะจากการตรวจสอบมติ ครม. เกี่ยวกับการใช้งบกลางตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 จนถึงปัจจุบัน พบว่ารัฐบาลได้ใช้งบกลางในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปแล้วทั้งสิ้น 94,029 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่ายในกรณีจำเป็นทั้งสิ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบัน “งบกลาง” นั้นมีไม่เพียงพอแล้วจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ พรรคก้าวไกล จึงขออนุญาตเสนอแนะเชิงสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มเติม ดังนี้
1) รัฐบาลควรพิจารณาออกพระราชกำหนดโอนงบประมาณ จากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยให้พิจารณาจากทุกๆ รายการที่ไม่ใช่รายจ่ายประจำ เพื่อตัดงบประมาณจากโครงการเหล่านั้นออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาทิ การเกณฑ์ทหาร การจัดอบรมสัมมนาและการจัดงานอีเว้นต์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งที่ใช้ในการต่อเรือดำน้ำ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่สามารถส่งมอบเรือดำน้ำได้ทันกำหนดได้ และจากการติดตามข่าวสาร ก็จะทราบว่า แม้แต่ขบวนการก่อการร้าย ISIS ก็ยังประกาศยุติการก่อการร้าย อันเนื่องมาเหตุของการระบาดของโรคโควิด-19
ดังนั้นความมั่นคงของประเทศ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ความมั่นคงที่มีความสำคัญสูงสุด ก็คือ ความมั่นคงในระบบสาธารณสุขในการดูแลรักษาชีวิตของประชาชน และความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชนให้สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ผ่านช่วงเวลาที่วิกฤตินี้ไปได้ ด้วยเหตุนี้ งบประมาณในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ยานเกราะสไตรเกอร์ ปืนใหญ่ เครื่องบินรบ ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพิจารณาตัด และโอนย้ายมาใช้ในกิจการสาธารณสุข และใช้เยียวยาแก่ประชาชนก่อน ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่า หากรัฐบาลหารือกับสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางอย่างละเอียด น่าจะสามารถโอนงบประมาณได้ไม่น้อยกว่า 80,000 ล้านบาท
2) ต่อให้โอนงบประมาณมาได้ 80,000 ล้านบาท ก็คิดว่ายังไม่น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ เพราะว่าการแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะใช้ในภารกิจด้านการสาธารณสุข และการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว รัฐบาลยังตั้งจัดสรรงบประมาณไว้ส่วนหนึ่ง ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากที่วิกฤตการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้วอีกด้วย พรรคก้าวไกล จึงขอเสนอแนะให้รัฐบาลพิจารณาออกพระราชกำหนดเงินกู้จำนวนทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอที่จะเตรียมความพร้อมด้านการสาธารณสุขได้อย่างเต็มที่ และจัดสรรเงินเยียวยาให้กับประชาชนได้อย่างครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดจำนวน 14.5 ล้านคน ได้รับความช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้า และเป็นธรรม และยังมีเงินเหลือไว้สำหรับการฟื้นฟูเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ในเวลาต่อมา
3) หลังจากที่รัฐบาลออก พ.ร.ก. เงินกู้ 200,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พรรคก้าวไกล ขอเสนอให้รัฐบาลเสนอเปิดสมัยประชุมวิสามัญ เพื่อให้รัฐสภาอนุมัติ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เพื่อจัดสรรงบประมาณในการรับมือกับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ เล็งเห็นผล ที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะมาตรการในการเตรียมความพร้อมด้านการสาธารณสุข และการเยียวยาทางตรงกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ
สำหรับการการเปิดสมัยประชุมวิสามัญ พรรคก้าวไกล ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อหารือในการจัดสรรผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อให้มีองค์ประชุมเพียงพอที่จะดำเนินการประชุมได้ โดยที่ไม่หนาแน่นเกินไป จนมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในระหว่างการประชุม
พรรคก้าวไกล จึงขอส่งข้อเสนอแนะเชิงสนับสนุน ให้กับรัฐบาลได้พิจารณา และเข้าใจถึงความปรารถนาดีของพรรคก้าวไกล ที่พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อช่วยกันนำพาให้ประชาชนได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ ไปได้ร่วมกัน