ยิงเลเซอร์ตามหาความจริง ปลุกม็อบจากฮ่องกงสู่ไทย
การ "ยิงเลเซอร์" พร้อมติดแฮชแท็ก #ตามหาความจริง เหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วกทม.
โดยเฉพาะเฉพาะ “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญของรัฐบาลอย่าง “กระทรวงกลาโหม”เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา
บรรดา “คอการเมือง” รวมถึง “หน่วยงานความมั่นคง” ต่างฟันธงว่า นี่!คือการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง โดยเลือกสถานที่เชิงสัญลักษณ์ทั้ง
“อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” และ “วัดปทุมวนาราม” รวมถึงวันครบรอบ10ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี53 เป็นการปลุกแนวร่วมทางการเมือง
การแชร์ความดังกล่าวต่อๆกันบนโลกโซเชียล จนแฮชแท็ก #ตามหาความจริง ติดอันดับ 1 บนเทรนด์ทวิตเตอร์ ดูเหมือนว่าจะไปสอดรับกับท่าทีจากทางขั้วการเมืองอย่าง “อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่”หรือ“คณะก้าวหน้า”ในปัจจุบัน
ทั้งในเพจเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ “คณะก้าวหน้า” ที่มีการโพสต์ระบุถึงเหตุการณ์ทางการเมืองทั้ง เหตุการณ์ทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม 2535, เหตุการณ์ทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516 ,เหตุการณ์6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งเหตุการณ์ทางการเมืองปี53
ทั้งยังชวนแนวร่วมร่วมตามหาความจริงไปพร้อมกันที่เพจคณะก้าวหน้า 12-20 พ.ค. ด้วย
สอดรับท่าทีจากแกนนำคณะก้าวหน้าอย่าง “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ที่ทวิตข้อความระบุว่า ตามหาความจริงกับเรา 12-20 พ.ค.นี้ ทางเพจคณะก้าวหน้า ฉายภาพกลางกรุงมันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น#ความจริงต้องปรากฏ
การเลือกใช้วิธีปลุก “แนวร่วม” แทนการรวมตัว ส่วนหนึ่งอาจมีผลมาจากพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีการบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน บวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในปัจจุบันจึงอาจทำให้การรวมตัวมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
อันที่จริงการต่อสู้ใน “โลกไซเบอร์” หรือ “นำเทคโนโลยี” มาใช้แทนการชุมนุม ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเพราะในหลายประเทศก็เคยใช้วิธีนี้มาแล้ว
ที่เพิ่งผ่านไปเร็วๆนี้คือ “การชุมนุมใหญ่ในฮ่องกง” ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มผู้ชุมนุมเลือกใช้การ “ยิงแสงเลเซอร์” หรือ การประท้วงแนว “Cyber Punk”
มาใช้จัดการกับกล้องวงจรปิดของหน่วยงานความมั่นคงในการหลบเลี่ยงเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า และทำให้กล้องเกิดความสับสน และไม่สามารถบันทึกภาพได้!!