อัยการ รับแนวทางศาลฎีกา ผิดฐานเสพยาฟ้องไม่ได้
สำนักงาน อสส. ปรับแนวทางคดียาเสพติด ระบุ ผิดแค่ฐานเสพฟ้องไม่ได้แต่ต้องฟื้นฟูก่อน
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพบูลย์ ถาวรวิจิตร รองอัยการสูงสุด ในฐานะปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ได้ลงนามในหนังสือถึงทุกหน่วยงานภายในสำนักงาน อสส. เรื่องแนวทางการดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
ทั้งนี้ หนังสือระบุว่า ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5377/2562 วินิจฉัยปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ว่า เมื่อโจทก์มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยในความผิดฐานอื่น แล้วฟ้องจำเลยเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ย่อมมีผลเท่ากับว่า จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีเพียงอย่างเดียว อันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่อาจนำตัวจำเลยไปศาลภายใน 48 ชั่วโมงได้ ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ตอนท้าย
ดังนั้นเมื่อความผิดที่จำเลยถูกกล่าวหาคงเหลือเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 19 วรรคหนึ่งก่อน การที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้จำเลยได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเสียก่อนนั้น เป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สำนักงาน อสส. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินคดีผู้ต้องหากับมาตรการการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงซักซ้อมแนวทางการดำเนินคดีซึ่งได้กำหนดไว้ตามหนังสือที่อ้างถึง โดยให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบ ยังไม่ต้องยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล แต่ให้แจ้งพนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ตอนท้าย ทั้งนี้ให้โอนสำนวนไปลงสารบบ (ส.1 ฟ.) แล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป