พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ...เลิกได้
ผมคิดว่า ไม่ควรต่ออายุ-ขยายเวลาการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แบบครอบคลุมทั้งประเทศต่อไปอีก 1 เดือน
เพราะสถานการณ์โรคระบาดไม่ได้ฉุกเฉินในระดับสูงสุดแล้ว จึงควรใช้กฎหมายที่มีดีกรีอ่อนกว่า หรือตรงกับสถานการณ์มากกว่าแทน
ผมคิดว่าสถานการณ์นับจากนี้ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ก็เอาอยู่ และกฎหมายฉบับนี้ก็เพิ่งได้รับการปรับปรุงและประกาศใช้เมื่อปี 58 ในยุครัฐบาล คสช.ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกันกับปัจจุบัน
ไล่ดูเนื้อหา 60 มาตราของ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เห็นได้ชัดว่ามาตรการหลักๆ ที่ใช้ควบคุมการระบาดของโควิด-19 มาจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เกือบทั้งสิ้น เช่น กักกันตัวกลุ่มเสี่ยงหรือผู้สัมผัสโรค (มาตรา 34) ห้ามเข้าหรือออกจากสถานที่หรือยานพาหนะ (มาตรา 34-35) สั่งปิดตลาด สถานที่ชุมชน โรงมหรสพ โรงเรียน (มาตรา 35) มาตรการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ และการตั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (มาตรา 39-40)
นอกจากนั้นยังมีคณะกรรมการโรคติดต่อตั้งแต่ระดับชาติ ระดับจังหวัด และกทม. (มาตรา 11, 20 และ 26) ตามหลักการกระจายอำนาจ คือให้แต่ละจังหวัดสามารถกำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ของตนเองได้ เพื่อความยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องบังคับเหมือนกันทั่วประเทศ
อำนาจที่ พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯไม่มีในสถานการณ์ป้องกันการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา มีเพียง “เคอร์ฟิว” กับ “ปิดน่านฟ้า” เท่านั้น ซึ่งในส่วนของการปิดน่านฟ้าเป็นอำนาจของสำนักงานการบินพลเรือนฯ ตาม พ.ร.บ.เดินอากาศฯ
สุดท้ายจึงเหลือเพียง “เคอร์ฟิว” ที่กลายเป็นข้ออ้างในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่จริงๆ แล้วยังสามารถใช้กฎหมายที่มีดีกรีการลิดรอนสิทธิ์อ่อนกว่าทดแทนได้ เช่น พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ (มาตรา 18) ซึ่งก็ให้อำนาจสั่งห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนดเหมือนกัน
ผมเองไม่ได้เกลียดกลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือมองว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ และยังเห็นด้วยกับการประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดยังควบคุมไม่ได้
แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็ควรยกเลิก เพราะหากสถานการณ์กลับมาฉุกเฉินอีก ก็ประกาศใหม่ได้ หรือประกาศใช้เฉพาะบางพื้นที่ก็ได้ ไม่ผิดกติกาใดๆ
แต่การฝืนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯต่อไปด้วยเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักมากพอต่างหากที่มีความเสี่ยงมากกว่า เพราะต้องระวังเกิดกระแสตีกลับ เนื่องจากพวกที่รอสร้างกระแสมีอยู่แล้ว อีกทั้งคนจำนวนไม่น้อยก็เครียดกับความเดือดร้อนมากกว่ากลัวไวรัส
ประกอบกับประชาชนทั่วไปถูกจำกัดสิทธิ์นานๆ ย่อมอึดอัด สุดท้ายอาจกลายเป็นผลร้าย กระทบต่อผลงานดีๆ ที่รัฐบาลได้ทำมาตลอด ยิ่งในบางบริบทนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปใช้คาบเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง ก็จะยิ่งถูกขยายความถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์
แนวทางสำคัญที่สุดในระยะยาว จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย แต่คือการทำให้ประชาชนตระหนักรู้และขอความร่วมมือให้ควบคุมดูแลกันเอง เพราะเมื่อกิจการต่างๆ ทยอยเปิด ไม่มีทางที่เจ้าหน้าที่จะตรวจตราไหว แถมยังอาจเป็นช่องทางการทุจริต
ต้องไม่ลืมว่าการป้องกันโรคระบาดนั้น ถ้าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือเสียแล้ว ทุกอย่างที่ทำมาก็จะพังทลาย อาจเกิดกรณีพยายามฝ่าฝืนท้าทายมาตรการเพราะโกรธรัฐบาล
แน่นอนว่าเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมา กลุ่มต้านรัฐบาลก็ไม่ได้โทษใคร นอกจากโทษรัฐบาลเหมือนเดิม ฉะนั้นการบริหารความรู้สึกจึงสำคัญไม่แพ้มาตรการอื่นๆ