เปิดประวัติ สมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์)
เปิดประวัติ เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม หรือ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล
หลวงพ่อวิริยังค์ เดิมชื่อ วิริยังค์ บุญฑีย์กุล เกิดวันที่ 7 ม.ค.2463 ที่บ้านพักบริเวณสถานีรถไฟปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี (สถานีสระบุรี ในปัจจุบัน) ท่านเป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน ของท่านขุนเพ็ญภาษชนารมณ์ และนางมั่น บุญฑีย์กุล
เนื่องด้วยท่านขุนเพ็ญภาษชนารมณ์ ผู้เป็นบิดา เข้ารับราชการเป็นนายสถานีรถไฟ จึงจำเป็นจะต้องโยกย้ายที่อยู่ไปประจำที่อื่นอยู่บ่อยครั้ง ครอบครัวก็ต้องย้ายติดตามไปด้วย เมื่อครั้งบิดาได้ย้ายมาประจำอยู่ ณ สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมานับว่าเป็นความโชคดีของครอบครัว บุณฑีย์กุล ที่ได้มาพบกับพระอาจารย์ ฝ่ายกรรมฐานรูปสำคัญ และท่านยังเป็นถึงศิษย์ของ “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” อีกด้วย นั้นคือ “พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” และด้วยบิดามารดาของด.ช.วิริยังค์ เป็นผู้มีความชอบในการทำบุญ เข้าวัดฟังธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ด.ช.วิริยังค์ จึงมีโอกาสได้ติดตามท่านทั้งสองไปวัดบ้าง แต่ก็ด้วยวัยที่ยังเด็กเกินไป ในขณะนั้นจึงทำให้ ยังไม่มีความสนใจในการปฏิบัติสมาธิเลยหากแต่ยังคงชอบเที่ยวเล่นสนุกไปตามประสาของเด็กทั่วๆ ไป ด.ช.วิริยังค์ เมื่ออายุได้ 11 ขวบ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดสุปัฏนาราม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นของจังหวัดอุบลราชธานี ที่ต้องมาเรียนที่นี่เพราะ บิดาได้รับคำสั่งให้ย้าย ไปปฏิบัติราชการณ สถานีรถไฟวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และที่โรงเรียนวัดสุปัฏนารามนี่เอง ด.ช.วิริยังค์ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งกีฬา และการสมัครเป็นลูกเสือชาวบ้าน หรือแม้แต่กระทั่งเข้าโบสถ์ฟังธรรมในวันพระ แต่ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้ให้ความสนใจ ในการเข้าวัดฟังธรรมมากนัก พยายามที่จะหาวิธีหลีกเลี่ยงอยู่เป็นประจำเรียกว่า “พอหลบหนีได้ก็หลบหนีไป” กันเลยทีเดียว
เมื่อ ด.ช.วิริยังค์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาพอที่จะอ่านออกเขียนได้แล้ว บิดา มารดาก็ส่งให้ไปอยู่วัดกลาง (ปัจจุบันคือ วัดนารายณ์มหาราช) จังหวัดนครราชสีมา เพื่อฝากเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ปลัดตา ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางในขณะนั้น ณ วัดกลางแห่งนี้ ด.ช.วิริยังค์ มีความมุมานะในการเรียนบาลีไวยากรณ์ เป็นอย่างมาก แต่ด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด และมักจะโดนเพื่อน ๆ เด็กวัดด้วยกันกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ๆ ทำให้ ด.ช.วิริยังค์ เคยหนีออกจากวัดมาแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับมานึก ถึงอาจารย์ปลัดตาที่ท่านรักและให้ความเมตตามาโดยเสมอทำให้ ด.ช.วิริยังค์ กลับตัวและพยายามทำดีตั้งหน้าตั้งตาเรียนบาลีไวยากรณ์กับท่านอย่างตั้งใจ
สมาธิครั้งแรกกับการเปลี่ยนแปลงชีวิต
หลังจากที่เด็กชายวิริยังค์ เล่าเรียนบาลีไวยากรณ์กับท่านอาจารย์ปลัดตา ณ วัดกลาง ได้สำเร็จแล้ว บิดาก็ได้มารับกลับไปอยู่ที่บ้าน ณ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมาเพื่อให้มาช่วยเหลืองานที่บ้าน จนในวันหนึ่งได้รับการร้องขอจาก น.ส.ขลิบ ซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันที่ ด.ช.วิริยังค์ มีความสนิทสนมอย่างมาก ให้ช่วยเป็นเพื่อนไปวัดป่าสว่างอารมณ์ เพราะต้องไปต่อมนต์กับพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ทุกๆ คืน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เนื่องจากวันนี้เพื่อนๆ ของเธอนั้นเสร็จธุระไปก่อน จึงได้ไปที่วัดกันหมดแล้ว น.ส.ขลิบ จึงขอให้ ด.ช.วิริยังค์ ช่วยเดินไปส่งที่วัดป่าสว่างอารมณ์ด้วยความที่ ด.ช.วิริยังค์ ยังไม่คุ้นเคยกับสำนักปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จึงทำให้ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมเมื่อเข้าไปถึงศาลาวัด ก็เข้าไปนั่งปะปนกับผู้หญิงที่กำลังนั่งต่อมนต์กัน พระอาจารย์กงมา จึงกล่าวว่า
“วิริยังค์ นี่เธอทำไมไปนั่งข้างผู้หญิง เธอนั่งที่นั้น ต้องกราบก้นผู้หญิงมานั่งที่นั่งของผู้ชายทางนี้”
ด้วยความตกใจที่จะต้องเข้าไปนั่งใกล้ พระอาจารย์เป็นครั้งแรก บวกกับการที่อยากจะกลับบ้านแต่ก็ไม่กล้ากลับ เพราะกลัวผี สร้างความลำบากใจ ทั้งรำคาญและหงุดหงิดให้แก่ ด.ช.วิริยังค์ เป็นอย่างยิ่ง ด.ช.วิริยังค์ จึงมานั่งรำพึงในใจว่า “เราจะไม่มาอีกแล้วๆๆ” นานเท่าไรไม่ทราบ ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ใจ ปรากฎว่าจิตของ ด.ช.วิริยังค์ รวมสงบนิ่งลง พลันปรากฎมีอีกร่างหนึ่ง เดินออกจากร่างกายเดิม ลงจากศาลาเดินไปตามลานวัด และหยุดยืนอยู่ ณ บริเวณที่ปัจจุบันเป็นสถานที่สร้างอุโบสถ ปรากฎมีลมชนิดหนึ่งพัดโชยเข้ามาสู่ใจ ทำให้เกิดความสุข อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ทันใดนั้นเอง ด.ช.วิริยังค์ ถึงกับอุทานออกมาว่า “คุณของพระพุทธศาสนายังปรากฎอยู่ถึงปัจจุบันนี้หรือ ?” จากนั้นจึงเดินกลับมายังศาลาที่นั่งอยู่ มองไปที่ร่างกายจึงนึกขึ้นว่า เราจะกลับเข้าร่างเดิมได้ยังไง ทันใดนั้นเองก็พลันรู้สึกตัวขึ้น ได้แต่นั่งรำพึงในใจว่า “อัศจรรย์ใจจริงๆ ทำไมถึงดีอย่างนี้ๆ” นับแต่นั้นเป็นต้นมา ด.ช.วิริยังค์ ก็ได้เปลี่ยนนิสัยเก่าโดยสิ้นเชิง เริ่มเข้าวัดฟังธรรม จำศีลสวดมนต์ภาวนาเรื่อยมานับแต่วันนั้น
ตอนต่อสู้ในช่วงบวชเป็นสามเณร
เมื่ออายุได้ 14 ปี จากที่ ด.ช.วิริยังค์ ได้รับรสพระสัจธรรมอันเกิดจากสมาธิ และการสวมมนต์ภาวนา รักษาศีล ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นเพิ่มความศรัทธาในการที่จะออกบรรพชา เป็นสามเณรเป็นกำลัง หลังจากที่บิดามารดาได้อนุญาตแล้ว พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ จึงได้นำบวชเป็นชีปะขาว และนำไปบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 16 ปี ณ วัดสุทธจินดา จังหวัดนครราชสีมา โดยมี พระธรรมฐิติญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2478 หลังจากบรรพชาแล้ว ส.ณ.วิริยังค์ ก็มาพักอยู่ที่วัดป่าสาลวันก่อน
ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน โดยมี (พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์) พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาส เพื่อความสะดวก ในการทำหนังสือสุทธิ จากนั้นจึงลาพระอุปัชฌาย์กลับไปวัดป่าสว่างอารมณ์ตามเดิม เมื่อย้ายกลับมาวัดป่าสาลวัน แล้ว ส.ณ.วิริยังค์ ก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเข้มงวดเป็นอย่างมาก โดยมี พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชากรรมฐาน ส่งผลให้การบำเพ็ญความเพียร ของสามเณรวิริยังค์ ได้พัฒนาขึ้นไปตามลำดับอย่างน่าพอใจ นับเป็นความโชคดีอีกครั้งหนึ่งของ สามเณรวิริยังค์ เนื่องจากพระอาจารย์กงมา มีกิจนิมนต์ไปกรุงเทพฯ แต่ด้วยความเป็นห่วงศิษย์ จึงนำสามเณรวิริยังค์ ไปฝากไว้กับ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าศรัทธารวม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อฝึกปฏิบัติข้อวัตรต่าง ๆ รวมถึงการปฏิบัติด้านสมาธิให้พัฒนายิ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้ชื่อเป็นพระผู้มีพลังจิตแก่กล้า และที่สำคัญท่านก็ยังเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อีกด้วย
ช่วงเป็นพระภิกษุ
นับแต่บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ประพฤติธรรมฝึกปฏิบัติกรรมฐาน อุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์ อายุของสามเณร วิริยังค์ก็ร่วงเลยมาเหมาะสมแก่การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระอาจารย์กงมา ท่านจึงเมตตาจัดเตรียมการอุปสมบทให้อย่างง่าย ๆ ณ วัดทรายงาม (อุทกสีมากลางทะเล) บ้านหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมี พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาทองสุข สุจิตฺโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ 1 พรรษา มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าอยากที่จะพบและศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ การทำสมาธิจากพ่อแม่ครูอาจารย์ “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” เป็นอย่างมาก จึงรบเร้าพระอาจารย์กงมา ให้เมตตาช่วยนำไปฝากให้ประพฤติปฏิบัติ กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ ซึ่งในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ ณ วัดบ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเมือง จังหวัดสกลนคร แต่ในใจก็นึกกล้าๆ กลัวๆ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ เล่าลือมาว่า
1. ท่านอาจารย์มั่น รู้จักใจคน จะนึกจะคิดอะไรทราบหมด
2. ท่านอาจารย์มั่น ท่านดุยิ่งกว่าใครๆ ทั้งสิ้น
3. ท่านอาจารย์มั่น ท่านเทศนาในธรรมปฏิบัติยอดกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น
4. ท่านอาจารย์มั่น ท่านปฏิบัติตัวของท่านเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์อย่างยอดเยี่ยมยอด
5. ท่านอาจารย์มั่น ท่านจะต้องไล่พระที่อยู่กับท่านถ้าหากทำผิด แม้แต่ความผิดนั้นไม่มากแต่เป็นเหตุให้เสื่อมเสีย
แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติสมาธิ ที่หวังจะให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น ดังที่ได้ตั้งปนิธานไว้แล้ว ความกลัวทั้งหลายก็ไม่อาจมาขวางกั้น ความมุ่งมั่นตั้งใจในการเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ท่านผู้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งยุค ในด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อย่างองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ ลงได้เลยประกอบกับนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์กงมา ที่ได้เมตตากล่าวแก่ท่านว่า “วิริยังค์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นปรมาจารย์ และเป็นอาจารย์ของเรา สมาธิทุกๆ ขั้นตอน ผมได้สอนท่านไปหมดแล้ว ต่อไปนี้ท่านจะได้เรียนสมาธิกับท่านปรมาจารย์ ท่านอย่าประมาท จงปฏิบัติหลวงปู่มั่นแบบถวายชีวิต ท่านจะได้ความรู้อย่างกว้างขวางยิ่งกว่าที่ผมสอนอีกมากนัก” พบพระอาจารย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่
ในที่สุดแล้วความปรารถนาของพระวิริยังค์ ก็สำเร็จผลดังตั้งใจ ณ วัดบ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อันเป็นสถานที่มงคลที่ท่าน ได้พบกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ มีโอกาสอยู่ศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตร และการปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน และในขณะเดียวกันก็ได้รับหน้าที่อันสุดประเสริฐของตัวท่านเอง คือ “การเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อยู่เป็นเวลาทั้งสิ้น 4 ปี” ในช่วงเวลานี้เองที่ท่านได้มีโอกาสได้จดบันทึกคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ อันสุดแสนประเสริฐและเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันอย่างกว้างขวาง ในชื่อหนังสือ “มุตโตทัย”
นอกจากการได้รับโอกาสให้เป็นพระอุปัฏฐากแล้ว พระวิริยังค์ยังได้รับโอกาสครั้งสำคัญสุดในชีวิตของท่านเอง นั้นคือ การได้ออกเดินธุดงค์ กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ สองต่อสอง โดยมีจุดหมายปลายทางที่วัดเลียบ (วัดบูรพาราม) จังหวัดอุบลราชธานี อันจะเป็นสถานที่ถวายพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระมหาเถระผู้เป็นพระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ นั้นเองการเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่มั่นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันสำคัญที่พระวิริยังค์ จะได้ปฏิบัติสมาธิให้พัฒนามากยิ่งขึ้น รวมถึงได้มีโอกาสเรียนถามปัญหาข้อธรรมและข้อปฏิบัติต่างๆ ทั้งตื้น ลึก หนา บาง ที่ได้นำมาสั่งสอนอบรมศิษย์ ทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสจนถึงปัจจุบัน นับเป็นการธุดงค์ที่ล่ำค่าสุดจะประมาณนำมาพรรณนาความได้เลย
นับเป็นเวลากว่า 4 ปี ที่พระวิริยังค์ ได้อยู่อุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิด “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” และที่เคยได้อุปัฏฐากรับใช้ “พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” ผู้ที่ท่านนับถือว่าเป็น พระอาจารย์องค์แรก เป็นเวลา 8 ปี รวมเป็นเวลากว่า 12 ปี ท่านได้ใช้โอกาสที่ได้รับนี้ พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตร และหลักการปฏิบัติสมาธิ ทั้งอย่างหยาบ อย่างละเอียด ตื้น ลึก หนา บาง จนเป็นที่แน่ใจแล้วในหลักการและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้กราบลาพระอาจารย์แสวงหาความวิเวกส่วนตัวตามแต่โอกาสจะอำนวย แม้พระอาจารย์ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน วิชาสมาธินี้ เป็นวิชาที่เลิศ และประเสริฐโดยแท้ แต่หากจะรู้เพียงคนสองคนแม้เป็นสิ่งที่มีค่ามากเพียงใด ก็คงต้องหายไปจากโลกนี้ไปสักวัน
เมื่อมานึกถึงสิ่งนี้หลวงพ่อวิริยังค์ ก็บังเกิดจิตเมตตาอยากที่จะเผยแผ่วิชาสมาธินี้ให้แก่ชาวโลก สมดังปณิธานที่มั่นคงตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในระหว่างปี พ.ศ.2529-2534 ท่านได้พัก ณ วิทยาลัยสงฆ์น้ำตกแม่กลาง (วัดเทพเจติยาจารย์ ในปัจจุบัน) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ท่านได้มีเวลาทบทวนหลักการต่าง ๆที่ได้เคยไตร่ถามอัตถปัญหาสมาธิ พร้อมทั้งคำแนะนำจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ จึงได้เขียนเป็นตำราสมาธิขึ้นมา เรียกชื่อว่า “หลักสูตรครูสมาธิ” เป็นจำนวนทั้งสิ้น 3 เล่ม โดยรวมหลักการปฏิบัติอันเป็นทฤษฎี นับตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง ตามลำดับ อันแพร่หลายไปทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 110 สาขา ในปัจจุบัน (พ.ศ.2557) ภายใต้นาม “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” และ ขยายไปยังต่างประเทศถึง 8 สาขา ทั้งใน ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกา
เริ่มต้นการสร้างผลงาน
การศึกษา
เมื่ออายุ 15 ปี พุทธศักราช 2477 ได้บวชเป็นชีปะขาว การศึกษาเนื่องจากการบวช ตั้งแต่อายุยังน้อย จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากนั้นบรรพชาแล้วเรียนจบ นักธรรมชั้นตรี
นอกจากนั้น เป็นเวลาปฏิบัติกรรมฐาน เดินธุดงค์ตลอดระยะเวลาบรรพชา และอุปสมบท
ปริญญากิตติมศักดิ์
พุทธศักราช 2538 ปริญญาพัฒนบริหารศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ ด้านบริหารการพัฒนา จาก สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
พุทธศักราช 2545 ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จาก สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา
พุทธศักราช 2545 ปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษานอกระบบ จาก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
พุทธศักราช 2550 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยโยนก จังหวัดลำปาง
พุทธศักราช 2553 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย จังหวัดเชียงราย
พุทธศักราช 2554 ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการเพื่อการพัฒนา จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
พุทธศักราช 2555 ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พุทธศักราช 2556 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
พุทธศักราช 2557 ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาและเทคโนโลยี จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
สมณศักดิ์
พุทธศักราช 2507 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกที่ พระครูญาณวิริยะ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)
พุทธศักราช 2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระญาณวิริยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)
พุทธศักราช 2535 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชธรรมเจติยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)
พุทธศักราช 2545 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเจติยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)
พุทธศักราช 2554 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมมงคลญาณ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)