ศาลตีตกคำร้อง'ณฐพร-เรืองไกร' ยื่นตีความ'2ร่างรธน.'ล้มล้างการปกครอง

จากกรณีนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กรณีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) และนายวิรัช รัตนเศรษฐ และคณะ ผู้ถูกร้องที่ 2 เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติมต่อประธานรัฐสภา และนำเข้าสู่วาระการประชุมที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งสองฉบับในวาระที่หนึ่ง เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทำลายหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในรัฐสภาและหลักการตรวจสอบโดยประชาชน ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 49 มาตรา 255 มาตรา 256

ประกอบ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อมล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง และเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ

ผลการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฎว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินเหตุที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประซาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

เช่นเดียวกับคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการลงมติให้มีการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้ง 2 ฉบับ เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้วคำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป