'ไทยสร้างไทย'ค้านร่วม'CPTPP' กระทบภาคเกษตร ต่างชาติผูกขาดเมล็ดพันธุ์
"ไทยสร้างไทย" ออกแถลงการณ์ ค้าน "ไทย" เข้าร่วม "CPTPP" เหตุ ไม่คำนึงผลกระทบปชช. ภาคเกษตรอย่างมาก ต่างชาติ จะผูกขาดเมล็ดพันธุ์ กระทบการเข้าถึงยา เสียงบฯจัดซื้อแพงขึ้น หวั่น รัฐภาคี-บริษัทข้ามชาติ แทรกแซง ระยะยาว ประเทศอ่อนแอ
พรรคไทยสร้างไทย พบว่าการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ยังไม่รอบคอบ ไม่ได้คำนึงอย่างจริงจังถึงข้อมูลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและสังคมอย่างกว้างขวาง
วิกฤติโควิด-19 ที่ทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่ เป็นบทเรียนสำคัญกับทุกสังคม เพราะทำให้ตระหนักว่าความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางยา และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นหัวใจสำคัญของการจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ แต่ความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP กลับมิได้มีการประเมินภาวการณ์ของโลกในบริบทต่างๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการลงทุนหรือห่วงโซ่อุปทานที่จะเปลี่ยนแปลงไปภายหลังวิกฤติโควิด-19
การเข้าร่วม CPTPP มีผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทยอย่างมาก ข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่าประเทศไทยมีเกษตรกรทั้งสิ้น 8,094,954 ครัวเรือน หรือ 9,368,245 ราย ซึ่งเป็นร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ ประชากรกลุ่มนี้จะถูกต่างชาติผูกขาดเมล็ดพันธุ์หลายชนิด โดยเมล็ดพันธุ์จะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากบริษัทรายใหญ่จะผูกขาดยาวนานยิ่งขึ้น โดยจากเดิม 7 ปี เป็น 15 ถึง 20 ปี ที่ผ่านมา มูลนิธิชีววิถีได้ทำการศึกษาและพบว่า หากต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกรอบ ราคาของพืชผลทางเกษตรจะยิ่งมีราคาแพงขึ้น 6 ถึง 12 เท่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกสินค้าเกษตร ในปี 2562 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกมากถึง 431,386.89 ล้านบาท ทั้งนี้หากมีต้นทุนที่สูงขึ้น ประเทศไทยจะไม่สามารถแข่งขันระยะยาวได้
การเข้าร่วม CPTPP ยังส่งผลกระทบต่อด้านการสาธารณสุขของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงยาการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ หรือการส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุขในด้านอื่น เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) และข้อผูกมัดว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะทำให้เกิดการชะลอการแข่งขันของยาสามัญ เมื่อยาสามัญไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ ยาต้นแบบก็จะผูกขาดตลาดได้นานเกินกว่า 20 ปี ทำให้ประชาชนที่ได้ลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจำนวน 47.51 ล้านราย ไม่สามารถเข้าถึงยารักษาโรคต่างๆ ได้ อีกทั้งรัฐบาลยังจะต้องเสียงบประมาณเพื่อจัดซื้อยาในราคาแพงขึ้นอีกด้วย
การออกนโยบายสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญของการบริหารประเทศ จึงต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง การเข้าร่วม CPTPP จะส่งผลให้การออกนโยบายสาธารณะในอนาคตทำได้อย่างมีข้อจำกัดและมีโอกาสถูกแทรกแซงจากรัฐภาคีหรือบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมาย 50 ฉบับ เพื่อให้สอดรับกับกฎของ CPTPP รัฐบาลไทยจะถูกห้ามให้สิทธิพิเศษกับรัฐวิสาหกิจไทยในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ต้องมีหลักเกณฑ์เพื่อให้การปฏิบัติต่อบริษัทต่างชาติเป็นไปอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค การให้สิทธินักลงทุนฟ้องรัฐบาลได้ในบางกรณีที่นโยบายรัฐส่งผลลบต่อธุรกิจ การที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้จะทำให้เกิดความอ่อนแอของประเทศในระยะยาว ความสามารถของคนไทยในการแข่งขันกับต่างประเทศจะลดลงหากไม่มีมาตรการและกระบวนการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพรองรับ
นอกจากนี้ ข้อบกพร่องอันมีนัยยะสำคัญก็คือการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ผ่านมามีการจัดเวทีสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ซ้ำยังเป็นเวทีที่เชิญเฉพาะตัวแทนภาคธุรกิจ ภาคราชการ และตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชนเฉพาะองค์กรที่ทำงานด้านการติดตามและตรวจสอบนโยบายการค้าเสรีเท่านั้น ทั้งๆ ที่การเข้าร่วม CPTPP ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายกลุ่มในประเทศไทย
พรรคไทยสร้างไทยขอเรียกร้องต่อสภาผู้แทนราษฎรให้คัดค้านการเจรจาเข้าร่วม CPTPP โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 กำลังระบาด อีกทั้งรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมีการดำเนินการใดๆ ก็ตามที่มีผลผูกพันต่อประเทศไทยในระยะยาวในขณะนี้