'ประยุทธ์' หัก 'อนุทิน' เบรก 'Walk in วัคซีน' ย้ำ 3 ช่องทางกระจายวัคซีน วาระแห่งชาติ
"ประยุทธ์" สั่ง เบรก walk in วัคซีน" หวั่นชุลมุน ย้ำ 3 ช่องทางแผนวัคซีน วาระแห่งชาติ ฟัง ศบค. ที่เดียวไม่ต้องฟังคนอื่น "อนุทิน" เด้งรับ สั่ง ปรับปรุง"หมอพร้อม" ให้พร้อม ลุ้น ผ่อนปรน นั่งกินในร้านได้เพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน มีการหารือกันถึงประเด็นของการ Walk in ฉีดวัคซีน โดยช่วงหนึ่ง นายกฯ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่อยากให้ใช้รูปแบบวอล์คอิน เพราะหากประชาชนแห่กันไปพร้อมกันที่จุดเดียว จะเกิดความชุลมุนขึ้นได้ในต่างจังหวัดไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ กทม.มีคนจำนวนมาก โดยอยากให้ปรับรูปแบบใหม่ยกตัวอย่างเช่น ให้ไปลงทะเบียน ณ จุดที่ตั้ง ซึ่งจะมีการกำหนดให้ชัดเจน ต้องใช้เวลา
ตอนนี้ให้ยึดแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมไว้ก่อน ให้คนที่ลงทะเบียนหมอพร้อมและกลุ่มเสี่ยงได้ฉีดก่อน จึงขอให้หน่วยงานไปปรับปรุงและแก้ปัญหาแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม เพื่อให้พร้อมใช้ อย่าให้เกิดปัญหาประชาชนลงทะเบียนไม่ได้ จึงอยากให้หยุดพูดเรื่อง Walk in ไปก่อนจนกว่าจะได้มาตรการที่ชัดเจน เดี๋ยวคน Walk in เข้าไปแล้วไม่ได้ฉีดจะโวยวาย อย่างไรก็ตาม หากวัคซีนเพียงพอหรือเหลือค่อยมาจัดการกันใหม่ เรื่องWalk in ละเอียดอ่อน ต้องจัดการดีๆ นอกจากนี้
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุถึงเรื่องการให้ข่าวที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนว่า ไม่ต้องให้ใครให้ข่าว ให้ ศบค.เป็นคนให้ข่าวแห่งเดียว และอะไรที่ได้ข้อสรุปแล้วถึงค่อยออกมาพูด
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก ของนายกรัฐมนตรี "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha" ยังได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับฉีดวัคซีน ในหัวเรื่อง "พร้อมฉีดวัคซีนโควิด-19ปูพรม เพื่อเดินหน้าประเทศไทย” โดยเน้นย้ำ ถึง 3 ช่องทางกระจายวัคซีนที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติว่า
"ประเด็นที่สำคัญที่ผมและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็คือการฉีดวัคซีน ที่ผมได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทาง ช่องทางแรกคือ ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้มาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้กลุ่มผู้อายุต่ำกว่า 60 ปีลงทะเบียนได้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งข้อดีคือ ผู้ลงทะเบียนสามารถจองคิวฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เลือกในวันเวลาที่เลือกเอง และรับรองว่าจะได้ฉีดในวันเวลาดังกล่าว อย่างแน่นอน สามารถเตรียมความพร้อมได้ดี หรืออาจจะเป็นระบบอื่นของแต่ละจังหวัด เช่นภูเก็ตชนะ ก็ได้
ช่องทางที่สอง คือวิธีที่เสริมจากช่องทางระบบหมอพร้อม เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุด คือลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน หรือ “On-site Registration” ในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดเตรียมระบบในช่องทางนี้เพื่อให้เกิดความพร้อมมากที่สุดในการจัดสรร
ส่วนช่องทางที่สาม คือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับ กลุ่มเฉพาะ คือประชาชนกลุ่มเฉพาะเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม
คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งจำเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน สามารถที่จะยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป"
ด้าน นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวสนับสนุนและเห็นด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ อยากให้ทบทวนเรื่องWalk in เพราะถ้าคนเดินทางเข้าไปแล้วไม่ได้ฉีดจะเสียหาย จะด่ารัฐบาลอีก ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ระบุเพียงสั้นๆ ว่า "ตามที่นายกฯ สั่งการครับ"
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้แนะให้พยายามหามุมดีๆ มานำเสนอ เช่น มีผู้ติดเชื้อรักษาหายป่วยแล้วกี่คน เป็นต้น และยังได้ระบุข้อเสนอให้ล็อคดาวน์นั้น คงเป็นไปได้ยากเพราะเราจำเป็นต้องดูแลคนทำงาน ลูกจ้าง ตอนนี้ต้องดูว่าหลังผ่อนคลายมาตรการเปิดให้รับประทานอาหารในร้านได้ 25% ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้แล้วเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มาจากร้านอาหาร ก็อาจจะมีมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมอีก เช่น ขยายปริมาณนั่งรับประทานอาหารในร้าน แต่ถ้าพบว่ามีผู้ติดเชื้อจากร้านอาหารก็ต้องทบทวนอีกครั้งอาจต้องปิดเป็นเวลา 14 วันหรือไม่ และ นายกฯ ยังให้มีการยกเลิกทัวร์ริสต์บับเบิล หรือการท่องเที่ยวแบบจับคู่ที่รัฐบาลจะทำก่อนหน้านี้ออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
ขณะที่เรื่องการแพร่ระบาดในเรือนจำนั้น พล.อ.ประยุทธ์ มองว่า น่าจะจัดการไม่ยาก สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว เพราะเรือนจำมีพื้นที่ชัดเจน แต่ขอให้กระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงสาธารณสุขประสานงานแก้ปัญหากันอย่างใกล้ชิด