หากรัฐบาลสามารถควบคุมโรคระบาด ควบคู่ไปกับการเยียวยาเศรษฐกิจ และออกมาตรการที่ตรงจุด และนำข้อเสนอภาคเอกชนมาดำเนินการด้วยความโปร่งใส ไม่มีการทุจริต ความหวังให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (17 ส.ค.) เห็นชอบให้ใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินซื้อวัคซีนยี่ห้อ “ไฟเซอร์” 20,001,150 โดส เป็นเงิน 9.37 พันล้านบาท แบ่งเป็นค่าวัคซีน 8,439 ล้านบาท และ “ค่าบริหารจัดการ” วงเงิน 933 ล้านบาท
ครม.ยังเห็นชอบให้จัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส โดยให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ลงนามกับไฟเซอร์ นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของรัฐบาลในการแจกแจงที่ไปที่มา แยกต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงกับค่าดำเนินการ
เรียกได้ว่าเริ่มฟังเสียงประชาชนในการบริหารจัดการวัคซีน เนื่องจากมีการปรับทิศทางยี่ห้อการจัดซื้อไปยังกลุ่มวัคซีน mRNA ในปริมาณที่มากขึ้น แทนการทุ่มเงินไปกับวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งเป็นวัคซีนโลกเก่า ไม่เท่าทันความรุนแรงของไวรัสหลายพันธุ์ในปัจจุบัน
ขณะที่ภาคเอกชน ตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ออกมาเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะล็อกดาวน์ 29 จังหวัด ไปจนถึงสิ้นเดือนเป็นอย่างน้อย รัฐบาลจะต้องดำเนินการควบคู่ ทั้งด้านการหยุดการแพร่ระบาดและการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน
โดยด้านการหยุดการแพร่ระบาด ประกอบด้วย การเร่งตรวจเชิงรุกด้วย ATK ในราคาถูกลงกว่าปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น การเร่งจัดหาวัคซีน และผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคให้เหลือน้อยที่สุด
สำหรับมาตรการทางด้านเศรษฐกิจ หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลมีการพิจารณามาตรการเยียวยามาเสริมให้รวดเร็ว ผ่อนปรนบางกิจการให้เปิดธุรกิจได้ ควบคู่กับการควบคุมการระบาด
มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มีความพร้อมกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง เตรียมแผนฟื้นฟู และแผนการเปิดประเทศ เพื่อรองรับกรณีหากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ภาคเอกชนเห็นด้วยที่เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวจากภูเก็ตไปยังจังหวัดนำร่องอื่น
เราเห็นว่าหากรัฐบาลสามารถทำงานด้านการควบคุมโรคระบาด ควบคู่ไปกับการเยียวยาเศรษฐกิจ และออกมาตรการที่ตรงจุดตามที่คิดนโยบายเอง และนำข้อเสนอภาคเอกชนมาดำเนินการด้วยความโปร่งใส ไม่มีการทุจริตแล้ว
ความหวังให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม ที่สำคัญในชั่วโมงนี้ ประชาชนรอการแถลงข่าว การทำความเข้าใจทุกข้อสงสัยตลอดเวลา ไม่ใช่รอกระแสสังคมมากดดันแล้วออกมาชี้แจง
เรายังเห็นด้วยกับแนวคิดของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน ที่ออกมาให้ความเห็นไว้น่าสนใจโดยสรุปในสถานการณ์โรคโควิด วันนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือความร่วมมือและร่วมใจกันของทุกภาคส่วน เนื่องจากภาครัฐอย่างเดียวอาจมีกำลังไม่พอ ภาคส่วนอื่นๆ สามารถช่วยทำงานหนุนเสริมซึ่งกันและกันได้ จุดเปลี่ยนอยู่ที่ภาครัฐจะเปิดทาง และยอมรับความจริงหรือไม่