“ผู้การชาติ”สบช่องคั่วรมต. หิวแสงจุดพลุย้ายพรรค
ว่ากันว่า เจตนาที่แท้จริงของเพื่อนประยุทธ์คนนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการมีตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อกอบกู้ศรัทธา หวังให้ตำแหน่งเสนาบดี เป็นแม่เหล็กดึงให้ส.ส.ภาคใต้ เข้าหา
ทำเอาคนในพรรคพลังประชารัฐ งงเป็นไก่ตาแตก เมื่ออยู่ๆ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พลังประชารัฐ เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) ของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกมากระพือข่าวเตรียมทิ้งพลังประชารัฐ ไปซบพรรคการเมืองใหม่
โดยเฉพาะ “พรรคปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย. นี้ กำลังถูกจับตามองอย่างมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คนวงในพูดกันว่าพรรคดังกล่าวกำลังชะงัก แต่ตอนนี้เริ่มมีแอ็คชั่นให้เห็นแล้วว่า เดินหน้าเต็มที่
ส.ส.ใต้ของพลังประชารัฐ รู้ดีว่า ชื่อ พ.อ.สุชาติ หรือ “ผู้การชาติ” ขายไม่ได้ในทางการเมือง มาตั้งแต่เลือกตั้งปี62 ทั้งที่เคยได้รับบทบาทคุมทัพสู้ศึกเลือกตั้งภาคใต้ ทว่ากลับโดนข้อครหาต่างๆนานา ในเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องท่อน้ำเลี้ยงไม่ไหล หรือเรื่องกระสุนค้างท่อลำเลียงไปไม่ถึงตัวขุนพลแต่ละพื้นที่
จึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า ส.ส.ด้ามขวานที่ได้รับเลือกเข้าสภา 14 คน ต่างคนต่างมา ไม่มีใครสังกัดกลุ่มผู้การชาติแม้แต่คนเดียว และหลายคนเชื่อว่า สาเหตุที่ได้รับเลือกตั้ง มีปัจจัยอื่นมากกว่าคนชื่อ พ.อ.สุชาติ
หลายคนพูดตรงกันว่า ไม่เคยได้รับการติดต่อ หรือประสานพูดคุยเรื่องย้ายพรรคจาก พ.อ.สุชาติ เลย ส.ส.บางคนถึงขนาดยืนยันว่า ไม่เคยต่อสายพูดคุยอะไรกับเพื่อนนายกฯ ประยุทธ์ คนนี้มาเป็นปีแล้ว
หากจะพูดสื่อความให้ชัดเจนที่สุดคือ ส.ส.พลังประชารัฐ ไม่ได้ให้ราคาในทางการเมืองกับคนที่ออกมาเปิดหัวเรื่องนี้แม้แต่น้อย
หากย้อนกลับไปช่วงก่อนเลือกตั้งนายกฯ อบจ.สงขลา ผู้ใหญ่ในพลังประชารัฐ ประเมินแล้วว่าลำพังถ้าปล่อยให้ “ผู้การชาติ”ลงสู้ศึกสนามนี้ลำพัง มีหวังจบเห่ จึงได้เห็น “เสธหิ” หิมาลัย ผิวพรรณ ลงทำพื้นที่อยู่พักหนึ่ง แม้กระทั่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังเคยออนทัวร์พื้นที่สงขลา เพื่อโกยคะแนนให้ผู้การชาติ
ตรงนี้เองที่ทำให้ประชาธิปัตย์ เจอไฟต์บังคับให้ต้องชนะ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทยและ “ถาวร เสนเนียม” อดีตรมช.คมนาคม ทั้งที่เป็นคู่เกาเหลา จนแทบไม่อยากจะมองหน้ากันยังต้องหันมาจับมือสู้ศึกสนามนี้ ด้วยการสนับสนุน ไพเจน มากสุวรรณ์ และยังได้แรงหนุนจากนายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์ ที่พ่วงดีกรีอดีตนายกฯอบจ.สงขลา จนคนของพรรคเข้าป้ายเป็น นายกฯ อบจ.สงขลา สำเร็จ
ส่วน พ.อ.สุชาติ หลังจากพ่ายแพ้ ก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนเมื่อถึงคิวปรับครม. ครั้งก่อน ก็ปรากฎว่ามีการเข้ามาพบกับพล.อ.ประยุทธ์ ถึงทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางการจับตาไปเรื่องโควตารัฐมนตรีของภาคใต้
ตอนนั้น บรรดาทีมงานของผู้การชาติ ต่างมั่นอกมั่นใจ เจอใครต่างก็บอกว่า จะได้เก้าอี้ มท.2 แต่หลายคนไม่มั่นใจในข้อมูลที่ปล่อยออกมา จึงไม่มีข่าวใดๆ ปรากฎบนหน้าสื่อ
มาถึงครั้งนี้ ที่เพิ่งมีรัฐมนตรี 2 คน ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้การชาติ อาจเห็นลู่ทาง สอดแทรกให้เข้าตาเพื่อนอย่างประยุทธ์ ด้วยการทำให้เห็นว่ามีความสำคัญ ไม่เช่นนั้น ถ้ายังมองไม่เห็นกัน ก็เตรียมจะเก็บข้าวของย้ายจากพลังประชารัฐไปพรรคใหม่
เรื่องนี้ทำเอา พล.อ.ประวิตร ควันออกหู กับผู้การชาติ เป็นอย่างมาก ที่พยายามสร้างแรงกระเพื่อม จนส.ส.และชาวบ้านสับสน ว่ากันว่า เจตนาที่แท้จริงของเพื่อนประยุทธ์คนนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการมีตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อกอบกู้ศรัทธา หวังให้ตำแหน่งเสนาบดี เป็นแม่เหล็กดึงให้ส.ส.ภาคใต้ เข้าหา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่น่าจะสร้างแรงกดดันใดๆ ต่อตัวนายกรัฐมนตรี และพลังประชารัฐได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายชื่อ ผู้การชาติ ก็อาจจะเงียบหายไปช้าๆ เหมือนที่ผ่านมา
ส่วนผู้การชาติ จะไปอยู่กับพรรคใหม่หรือไม่อย่างไร คงไม่ใช่เรื่องที่พลังประชารัฐ จะต้องกังวลหรือรั้งให้อยู่ เพราะเครดิตการเมืองของผู้การชาติ มีอย่างเดียวคือ การเป็นเพื่อนนายกฯ ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์การเมืองกับต่อพรรคหรือรัฐบาล
ถึงวันหนึ่งเพื่อนประยุทธ์ ก็คงต้องโบกมือลาพลังประชารัฐ เดินทางใครทางมัน เพราะรู้ดีว่า อยู่ไปเพื่อนก็ช่วยให้ฝันเป็นจริงได้