“ภูมิธรรม”รำลึก 14 ต.ค.ปลุก ปชช.“ตาสว่าง” ชี้ผ่าน 48 ปีบ้านเมืองยังวนที่เดิม
“ภูมิธรรม” ปลุกรำลึก 14 ต.ค. เปลี่ยนแปลงสู่ภาวะ “ตาสว่าง” ชี้เป็นเดือนแห่งจิตสำนึกใหม่ของประชาชน ผ่านไป 48 ปีบ้านเมืองยังวนอยู่ที่เดิม
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2564 นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า รำลึกการต่อสู้เดือน ต.ค. การเปลี่ยนแปลงสู่ภาวะตาสว่างในอีกบริบทหนึ่งของการเมืองไทย ต.ค.เดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ชวนให้เราได้ทบทวนและเกิดภาวะตาสว่างอีกครั้งของบริบทการเมืองไทย หากย้อนกลับไปในในเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลา 2516 ตนอยู่ในขบวนนักศึกษาห้วงเวลานั้น เราเรียนรู้ความอยุติธรรมท่ามกลางกระแสคลื่นประชาธิปไตยหลังถูกกดทับจากอำนาจเผด็จการต่อเนื่องยาวนาน นับตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมาในสมัยถนอม-ประภาส ส่งผลให้ระบบความคิดเราเชื่อมโยงกับปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ความไม่เป็นธรรม ความทุกข์ยากของเกษตรกร ความเหลื่อมล้ำของสภาพชนชั้นในสังคม การใช้อำนาจของชนชั้นนำที่กระทำและกดทับต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ผ่านการใช้กฎหมายและจารีตที่ครอบงำความเชื่อของสังคมไว้อย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าว : "โฆษกรัฐบาล"ซัดม็อบต้าน"นายกฯ" ใช้ความรุนแรง ยัน"ประยุทธ์" ไม่ได้หนี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ช่วงชีวิตตอนเป็นนักศึกษา เรายังมีโจทย์ที่ไม่ซับซ้อนมาก เราอยากเห็นชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้น กรรมกรมีค่าแรงที่ดีขึ้น นักศึกษาจบมาควรมีงานทำ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรในสังคมอย่างยุติธรรมเสมอภาคกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกใคร ชาวนาหรือคหบดี นี่คือความหวังพื้นฐานของเราในเวลานั้น 48 ปีที่ผ่านมา กลับมามองบ้านเมืองเราในวันนี้ ก็พบว่าเรายังคงยืนอยู่ในจุดเดิมที่ยังไม่เห็นสังคมที่เป็นธรรม สังคมที่ยังไม่มีการกระจายโอกาสให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง และสังคมที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำที่อาจจะสูงกว่าเดิมด้วยซ้ำเหตุปัจจัยที่เป็นรากของปัญหายังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ผมมั่นใจว่าในความสำนึกรู้คิดของเราเปลี่ยนแปลง และค่อยๆ สั่งสมสำนึกใหม่ที่นำพาเราไปสู่ภาวะตาสว่างมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเหตุการณ์ในเดือนต.ค. มีผลต่อการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้อมูลใหม่ๆ ได้รับการนำเสนอจากหลากหลายแง่มุม หลากหลายบุคคล ทำให้เราเข้าถึงและเข้าใจเหตุปัจจัยและตัวละครที่เปลี่ยนแปลงไป แต่แท้จริงแล้วยังคงมีรากเหง้าจากระบบเดิม
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่สร้างความบอบช้ำให้แก่ประชาชนอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต บั่นทอนความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรี ปิดกั้นความหวังและความฝันของผู้คนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ผู้คนในสังคมรู้สึกมืดมน หม่นหมอง แม้เพียงการใช้ชีวิตไปวันๆ สถานะความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เคยอดทน อดกลั้นและพยายามจะใช้ชีวิตของตนและครอบครัวให้ดีที่สุดกลับติดอยู่ในกับดักของความสิ้นหวัง ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้น คือ การที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบแถมตอกย้ำซ้ำเติมภายใต้การบริหารของผู้นำและพลพรรคที่ล้มเหลว ซึ่งไม่ได้มีที่มาจากอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง และยังเป็นผู้นำที่ไร้ศักยภาพอย่างสมบูรณ์แบบในทุกด้านในสายตาของประชาชน และเป็นกลุ่มผู้นำที่มาจากรากฐานเดียวกันของอำนาจอยุติธรรมเดิมในอดีต
“เดือนต.ค.แต่ละรอบ ยังจะหมุนเวียนมาให้เราได้สะท้อนความคิด เตือนความทรงจำถึงการทำร้ายประชาชนย้อนจากอดีตถึงปัจจุบัน เราได้เห็นการใช้อำนาจผ่านระบบโครงสร้างอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ การปิดกั้นเสรีภาพทางความคิด การกดขี่และคุมขังผู้คนที่มีความหวังต่ออนาคตของตนและลูกหลานในคนรุ่นถัดๆ ไป อำนาจอันอยุติธรรมแม้จะเปลี่ยนรูปร่างไป แต่เนื้อในยังคงมีรากเหง้าเดียวกัน ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและสำนึกรู้ของคนรุ่นเก่า รุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต มีความเปลี่ยนแปลง และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำพาเราทั้งหมดสู่ภาวะตาสว่าง อีกครั้งและอีกหลายๆ ครั้งในอนาคต เดือนต.ค.นั้นเป็นเดือนแห่งการเรียนรู้ด้วยจิตสำนึกใหม่ของประชาชน” นายภูมิธรรม กล่าว