“ก้าวไกล”ประชุมใหญ่ไร้เงา ส.ส.แปรพักตร์-“พิธา”มั่นใจยึดอีสานได้
พรรคก้าวไกล” ประชุมใหญ่ที่ขอนแก่น ไร้เงา ส.ส. “แปรพักตร์” ด้าน “พิธา” เตรียมทวงคืนพื้นที่จาก “งูเห่า” อดีต อนค. มั่นใจยึดภาคอีสานได้ ไม่หวั่นต้องสู้กับ “พรรคเพื่อไทย” ถ้าแข่งนโยบาย ประชาชนได้ประโยชน์ เชื่อจะกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2564 ที่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (KICE) จ.ขอนแก่น พรรคก้าวไกลได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2564 โดยมีกรรมการบริหารพรรค ตัวแทนประจำจังหวัดจากทั่วประเทศบางส่วน สมาชิกพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในแถบภาคอีสาน เข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 500 คน มีวาระพิจารณาระเบียบข้อบังคับ เลือกตั้งคณะกรรมการสรรหาว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยในช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. เป็นต้นไป นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค จะแสดงวิสัยทัศน์ พร้อมเปิดเผยนโยบายบางส่วนที่จะใช้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ และจะมีการปราศรัยของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ผ่านการคัดเลือกขั้นต้นในภาคอีสาน
อ่านข่าว : “ขอนแก่นพอกันที”หอบกระเช้าส้มใส่งูปลอมมอบ“ก้าวไกล”แก้ปัญหา“งูเห่า”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อ ส.ส.ที่ไม่ได้ลงชื่อเข้าประชุมใหญ่ในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ไปต่อกับพรรคก้าวไกล ได้แก่ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. นายพีรเดช คำสมุทร ส.ส.เชียงราย นายเอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย
นายพิธา ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมของพรรคก้าวไกล ที่ผ่านมาห่างเหินกันไปนานเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 การเดินทางที่ยากลำบาก ทำให้ไม่มีโอกาสได้ประชุมกัน ไม่ได้จัดทัพเพื่อเตรียมต่อสู้ ในปีที่จะถึง ทั้งนี้การมาภาคอีสานต้องการมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ซึ่งได้เห็นช่วงที่ชาวนากำลังลำบาก ทั้งเรื่องราคาพืชผลการเกษตร ทั้งยังเผชิญกับภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก แต่พื้นที่อีสานยังคงแล้งต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับอีสานมานาน ตนในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลอยากจะอยู่ใกล้ๆ เขาเพื่อแก้ปัญหาในเบื้องต้น ในการเปิดสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ขณะเดียวกันก็ต้องการมาเห็นกับตาเพื่อนำข้อมูลไปจัดทำนโยบายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งนี้หากแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ที่ดิน เรื่องน้ำ ให้คนอีสานได้ เชื่อว่าจะสามารถชนะใจคนอีสานได้
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะได้ ส.ส.เขตในพื้นที่อีสานเพิ่มขึ้น นายพิธา กล่าวว่า ในใจก็มีคำตอบอยู่ เราสามารถคิดกันด้วยสมอง ดูจากเขตยุทธศาสตร์ได้ว่าผลการเลือกตั้งปี 2562 เป็นอย่างไร แต่ละพื้นที่มีวาระอะไร เช่น การถูกเอาเปรียบในเรื่องของที่ดิน การสร้างเขื่อน ทั้งหมดนี้หากใช้หัวคิดก็สามารถคิดได้ และจะให้บอกตัวเลขก็ทำได้ ทั้งนี้ตนคิดว่าหากสู้กันด้วยใจ ทุกเขตสำคัญหมด ไม่อย่างนั้นคนทำงานจะเสียกำลังใจ ดังนั้น 116 เขตที่อยู่ในภาคอีสาน ตนตั้งใจจะไปให้ครบทุกเขต ไม่ว่าจะเป็นเขตยุทธศาสตร์หรือไม่
เมื่อถามว่าในพื้นที่ขอนแก่นเราเคยได้ ส.ส.ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับเป็นงูเห่า จะมีการปรับยุทธศาสตร์ในการเลือกผู้สมัครอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า สาเหตุที่มาจัดประชุมที่ขอนแก่น นอกจากจะไม่ใช่พื้นที่สีแดงเข้ม รวมทั้งมีความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่อีกทางคือเป็นสัญลักษณ์ในเชิงมาเปิดประตูสู่ภาคอีสาน ซึ่งตั้งใจจะมาที่เขตเลือกตั้งที่ 1 เพื่อมาทวงคืน ส.ส.ในเขตนี้ ตนเลือกนายวรนันท์ ศรีฮวด ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้พิสูจน์ตัวเองมาหลายสิบปี เมื่อมาอยู่กับพรรค ก็ผ่านการสัมภาษณ์ไม่น้อยกว่า 7-8 คน รวมถึงตนด้วย ซึ่งมีกระบวนการคัดสรร กระบวนการพัฒนาเพื่อที่จะมั่นใจว่าคนที่มาเป็นตัวแทนในการมาทวงคืนพื้นที่ ๆ อดีตพรรคอนาคตใหม่เคยทำไว้ ซึ่งเราขอเรียกความไว้วางใจ ความมั่นใจจากคนขอนแก่น เขต 1 จำนวน 1.85 แสนทั่วจังหวัด ที่เคยให้พรรคอนาคตใหม่มาให้พรรคก้าวไกล เพื่อทำงานในอีสานระยะยาวและตรงไปตรงมาเช่นเดิม
เมื่อถามต่อว่าในพื้นที่อีสานมีจังหวัดใดที่คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.บ้าง หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในใจคาดหวังทุกเขต ทุกจังหวัด ซึ่งเราตั้งใจทำงานเท่ากันหมด แต่ถ้าหากจะให้ดูว่าเขตไหนจะชนะ ตนคิดว่าทุกคนก็รู้ ดูได้จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ว่าเขตไหนแพ้การเลือกตั้งไม่กี่พันคะแนน เขตไหนแพ้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ สามารถจะบอกได้ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยในการทำงาน เราตั้งใจที่จะสู้ทุกเขตทุกจังหวัดในภาคอีสาน
ต่อข้อถามว่าหนักใจหรือไม่ในการสู้กับพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายพิธา กล่าวว่า ไม่หนักใจ ในระบอบประชาธิปไตย การแข่งขันเป็นเรื่องดี คนที่จะได้ประโยชน์คือประชาชน ยิ่งมีการแข่งขันอยู่ใกล้ชิดประชาชน หานโยบายที่โดนใจประชาชน ใครแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ได้ดี รวมถึงปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกร ตนคิดว่าจะเป็นทางเลือก และเป็นการแข่งขันในเชิงนโยบายประชาชนจะได้ประโยชน์
เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าจะไม่มีการยุบสภา แต่กลับเห็นสัญญาณการลงพื้นที่ของพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึงการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าคนเราเวลาอะไรที่ทิ่มแทงใจก็จะพูดออกมา ในลักษณะที่อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือเป็นข่าวลวง หรือตั้งใจที่จะส่งสัญญาณตรงกันข้าม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด และคนนี้ไม่ใช่หรือที่บอกว่าจะไม่ทำรัฐประหาร ตนคิดว่าใครจะพูดว่าอะไร พรรคไหนจะทำอะไร เป็นเรื่องของเขา แต่พรรคก้าวไกลต้องการเตรียมตัวให้พร้อมในทุกเวลา ในทุกมิติ ทุกสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ และเราควรทำมาตั้งนานแล้ว
เมื่อถามถึงการทำไพรมารีโหวต 400 เขต จะเป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องพูดคุยกันก่อน มีเลขาธิการพรรคเป็นผู้อำนวยการ รวมถึงมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่จะทำงาน ส่วนเรื่องระบบบัตรเลือกตั้งที่จะเปลี่ยนเป็น 2 ใบนั้น ไม่ว่าระบบไหนก็ต้องพร้อมสู้ เมื่อเป็นพรรคการเมือง หากเป็นอย่างที่ผู้สื่อข่าวถามเราต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานให้ใกล้ชิดกับประชาชนให้มากขึ้น ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด สักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นพรรคขนาดใหญ่ วันนี้เราอาจจะเป็นพรรคขนาดกลาง แต่เรามีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ ดังนั้นกติกาไหนที่คิดว่าจะได้ประโยชน์กับเขาในตอนนั้น อาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขมาตรา 34 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อที่จะเปิดทางให้พรรคการเมืองเข้าไปช่วยเลือกตั้งท้องถิ่นได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าการทำงานท้องถิ่นกับการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องทำไปควบคู่กัน ต้องมีการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ แต่ถึงขั้นว่าจะต้องลงไปช่วยหาเสียง จะต้องมีการหารือกันก่อน
นอกจากนี้ นายพิธา ยังได้กล่าวเปิดการประชุมว่า ในความคิดของตนเมื่อเปรียบเทียบกับปีแรก กับปีที่ 2 มีทั้งเรื่องที่ยังเหมือนเดิม และมีเรื่องที่แตกต่างกันไป เรื่องที่เหมือนเดิมและต้องทำให้ชัดเจนมากขึ้น คือแนวทางในการทำงานแบบพรรคก้าวไกล การทำงานทางการเมืองแบบสร้างสรรค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ การทำการเมืองแบบระยะยาว ไม่ใช่แค่ต้องการหวังผลการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น การทำงานแบบไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ให้มีส่วนร่วมให้มากยิ่งขึ้น โดยตนยืนยันกับทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเหมือนอดีตอนาคตใหม่
นายพิธา กล่าวต่อว่า ในปีนี้และปีที่แล้วจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ปีที่แล้วจะเป็นสมรภูมิอยู่ที่สภา แต่ปีนี้อยู่ที่สังคม ซึ่งปีที่ผ่านมามีความตั้งใจว่าจะทำงานหลังจากถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ ใช้ทรัพยากรที่มีลบคำสบประมาท ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ พรรคก้าวไกลไม่มีที่ยืน มีงูเห่า มีคนย้ายพรรค ถูกมองว่าไม่มีทางที่จะอภิปรายงบประมาณ รัฐธรรมนูญ สู้พรรคอื่นเขาได้ มองว่าคุณภาพจะลดลง จึงทำทุกวิถีทางที่จะพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นในสภาว่า ถึงแม้ว่าจะทุบแต่คุณภาพจะไม่ลดลง แต่คุณภาพจะเพิ่มขึ้นอภิปรายให้แหลมคมและดุดันมากขึ้น
นายพิธา กล่าวต่อว่า ปีที่แล้วเป็นเรื่องการประท้วงในสภา แต่ปีนี้จะเป็นการปูรากฐานแห่งความเปลี่ยนแปลง ปีที่แล้วเห็นตนใส่สูทพูดในสภา แต่ปีนี้จะเห็นใส่ชุดม่อฮ่อม ผูกผ้าขาวม้า กินซอยจุ๊ อูเพี้ยะ ซึ่งหมายความว่า จะกลับไปสู่รากฐานตั้งแต่ที่เริ่มเข้ามา ตั้งแต่การเป็นอดีตอนาคตใหม่ ซึ่งสมาชิกพรรคนั้น จะเป็นรากฐานสำคัญ ส.ส.พรรคจะเป็นรากฐานสำคัญของการเมืองที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ใช้การอภิปรายได้ดีกว่าในสภา ไม่ใช่การทำงานในกรรมาธิการ และขอให้สมาชิกพรรค ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแลกเปลี่ยนทักทาย สามัคคีกัน พยายามทำงานให้พาเข้าไปเหมือนที่ทุกคนฝัน ขอให้นึกถึงตอนนั้นให้ดีที่สุด และใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด