“ถุงมือยาง มือ 2 ”ฉาวข้ามชาติ โยงคดีอุ้มรีดนักธุรกิจไต้หวัน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะมีทั้งมุมคดีส่งถุงมือยางอื้อฉาว ที่สหรัฐเตรียมประสานเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ผู้รับผิดชอบในประเทศไทยกลับยังนิ่ง ๆ ส่วนอีกมุมคือ คดีอุ้มรีดนักธุรกิจไต้หวัน ซึ่งกระทำผิดอย่างโจ๋งครึ่มกลางเมือง
อีกหนึ่งประเด็นระดับโลกที่สร้างเรื่องเสื่อมเสียให้กับประเทศไทยของเรา คือการออกมาแฉของ CNN ว่ามีการส่งออก “ถุงมือยางใช้แล้ว” ซึ่งเป็นถุงมือยางสกปรก ออกจากไทยหลายสิบล้านชิ้นไปยังสหรัฐอเมริกา เรียกว่าอื้อฉาวกันไปทั้งโลก
ล่าสุด นายกรัฐมนตรี สั่งตรวจสอบแล้ว แต่ประเด็นที่พบเพิ่มเติมก็คือ เรื่องนี้โยงคดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน ซึ่งมีคลิปเผยแพร่ปฏิบัติการอุ้มกลางกรุง โดยมีนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกันอยู่เบื้องหลัง และชาวอเมริกันรายนี้ คือหนึ่งในแหล่งข่าวสำคัญของ CNN ที่แฉขบวนการส่งออกถุงมือยางมือ 2 ลวงโลก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศไทยนี่เอง
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวเชิงสืบสวนระบุว่า พบถุงมือแพทย์มือสองที่สกปรกและผ่านการใช้แล้ว ถูกส่งจากประเทศไทย เข้าไปยังสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนหลายสิบล้านชิ้น ถุงมือยางเหล่านี้ เป็นถุงมือไนไตร ใช้ในทางการแพทย์ ผลิตจากยางสังเคราะห์ ถูกเจาะเป็นรูได้ยาก และป้องกันสารเคมีต่างๆ ได้ จึงมีความต้องการใช้สูงมากในช่วงโควิด-19
ถุงมือยางไนไตร “มือ 2” ถูกส่งมาจาก 2 บริษัทในไทย หนึ่งในนั้นคือบริษัทที่ชื่อว่า Paddy the Room มีโรงงานอยู่ในย่านลำลูกกา เจ้าหน้าที่ไทยเคยบุกทลายเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ข้อมูลจาก CNN ระบุว่า การทลายแหล่งผลิตครั้งนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยของขบวนการส่งออกถุงมือยางมือ 2 ในไทย
ลูอิส ซิสคิน (Louis Ziskin ) เจ้าของบริษัทแอร์ควีน ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งข่าวคนหนึ่งของ CNN ที่ระบุว่าเป็นผู้สั่งซื้อถุงมือยางจาก Paddy the Room มูลค่า 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 90 ล้านบาท ผ่านบุคคลที่สามที่อยู่ในเอเชีย แต่เมื่อถุงมือถูกส่งไปถึงสหรัฐ กลับพบว่า ไม่ใช่ถุงมือไนไตร แต่เป็นถุงมือไวนิลเกรดต่ำ สภาพสกปรกมากและเป็นของมือสอง บางส่วนยังมีเลือดติดอยู่
ลูอิส บอกกับ CNN ว่า เขาได้ตัดสินใจมาประเทศไทย เพื่อพยายามทวงเงิน 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐคืน แต่ทุกอย่างกลับพลิกไปอีกด้าน เมื่อลูอิสกับพวกถูกจับ และถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายและลักพาตัว หลังพบกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
“ทีมข่าวข้นคนข่าว” เนชั่นทีวี ตรวจสอบพบว่า คดีของลูอิส แท้ที่จริงแล้วคือ คดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน ซึ่งมีคลิปปฏิบัติการอุ้มออกมาอย่างโจ๋งครึ่ม ในร้านอาหารย่านทองหล่อ กลางกรุงเทพฯ
ต่อมาตำรวจกองปราบจับกุมขบวนการอดีตทหารนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา และพวก ฐานอุ้มนักธุรกิจชาวไต้หวัน จากชนวนเหตุขัดแย้งจากธุรกิจซื้อชายถุงมือไนไตร
ทีมข่าวตรวจสอบพบว่า ชาวสหรัฐคนหนึ่งที่ถูกจับกุม แท้ที่จริงแล้วก็คือ นายลูอิส ที่ออกมาแฉเรื่องถุงมือยางมือ 2 ให้กับ CNN โดยคดีของนายลูอิส เป็นที่น่าสังเกตว่า ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานไม่ทัน ทำให้หมดอำนาจการควบคุมตัว นายลูอิสจึงเป็นอิสระ เดินทางออกจากประเทศไทยได้ และกลับสหรัฐในที่สุด
คำถามก็คือ คดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวัน อย่างโจ๋งครึ่ม คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หรือว่าจบลงแบบเงียบๆ เหมือนหลายๆ คดีในประเทศไทย
ตอนนี้คดีอุ้มรีดนักธุรกิจชาวไต้หวันเป็นข่าวครึกโครม นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ได้แสดงตัวว่ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ ก่อนที่ข่าวจะเงียบไป แต่เมื่อประเด็นการส่งออกถุงมือยางมือ 2 อื้อฉาวขึ้นมาจากการตีแผ่ของสื่อต่างประเทศ “ทีมข่าวเจาะ เนชั่นทีวี” จึงได้ขอสัมภาษณ์เขาอีกครั้ง
“สันธนะ” เล่าว่า จุดเริ่มต้นของคดีนี้ เชื่อมโยงกับการซื้อขายถุงมือยางของ นายลูอิส กับบริษัทแพดดี้เดอะรูมฯ ที่แต่งตั้งให้บริษัทคอลเลกชั่นฯ ของ นางเอมิลี่ เป็นผู้เจรจาธุรกิจ แต่ปรากฏว่าเกิดความขัดแย้งกัน จนนายลูอิสได้รับความเสียหายกว่า 93 ล้านบาท และพยายามทวงเงินคืนจาก นายเวน ยู ชุง ชาวไต้หวัน โดยให้นายไมเคิล ชาวอิสราเอล ซึ่งเปิดบริษัทนักสืบเอกชนในประเทศไทย ช่วยติดตามทรัพย์สินคืนจากคู่กรณี
นายไมเคิล และพวกซึ่งมีทั้งคนต่างชาติและคนไทย จึงวางแผนติดต่อกับนายเวน ยู ชุง ทำทีซื้อถุงมือยาง ก่อนนัดหมายมาพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา เมื่อพบผู้เสียหายกำลังนั่งสั่งอาหารรับประทาน จึงเข้าจู่โจมจับตัวล็อกคอใส่กุญแจมือ แล้วพาออกจากร้านอาหารไปยังห้องพักรายวันแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 36 อยู่ห่างประมาณ 200 เมตร ก่อนลงมือทำร้ายร่างกาย และใช้โทรศัพท์ของผู้เสียหายโทรฯ ติดต่อไปหานางเอมิลี่ เจ้านายของผู้เสียหาย เพื่อข่มขู่เรียกเงิน 2 ล้านยูเอส และโทรศัพท์ไปข่มขู่เรียกเงินจากญาติของผู้เสียหายอีก 1 ล้านยูเอส รวมประมาณ 90 ล้านบาท แต่นางเอมิลี่ และญาติของผู้เสียหายไม่ยินยอม จึงขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตและตำรวจ
ต่อมาพอผู้ต้องหาเห็นท่าไม่ดีจึงพาผู้เสียหาออกจากห้องเช่า เดินทางไปที่ร้านอาหารแห่งที่สอง เพื่อไปพูดคุยกับนายลูอิส ที่เดินทางมาทีหลัง ก่อนจะพากันไปที่ สน.ทองหล่อ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้ตามคำแนะนำของ สันธนะ ประยูรรัตน์ ที่ได้รับการติดต่อจากนายไมเคิลให้เข้ามาประสานงานในคดี
เมื่อไปถึง สน.ทองหล่อ กลุ่มผู้ต้องหาก็ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ แต่ทางแต่ผู้เสียหายไม่ยอมลงชื่อ กลุ่มผู้ต้องหาจึงยอมปล่อยผู้เสียหายแล้วเดินออกไป
ส่วนผู้เสียหาย หลังจากเป็นอิสระจึงเข้ามาแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ อีกครั้ง จนมีการรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดรวม 25 คน แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 17 คน และคนไทย 8 คน หนึ่งในจำนวนผู้เสียหายในคดีนี้คือรองต่อ ที่ถูกดำเนินคดีข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร
สันธนะ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การอุ้มรีดเรียกค่าไถ่ตามที่เป็นข่าว แต่เป็นการเจรจาทวงหนี้ที่ไม่เป็นผล กลุ่มผู้ต้องหาคือพยายามกดดันให้นักธุรกิจชาวไต้หวันคืนเงิน จึงมีการลงไม้ลงมือกันขึ้น นอกจากนี้ยังพยายามอธิบายว่า นายลูอิส ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ตามมาภายหลัง และยืนยันว่าตนเอง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี แต่เป็นเพียงผู้ประสานงานให้กับนายไมเคิลในการเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจทองหล่อเกี่ยวกับคดีเท่านั้น
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ระบุว่า ไม่เคยได้รับการติดต่อจากนายสันธนะ แต่เคยได้รับโทรศัพท์จากบุคคลหนึ่งว่าจะมีชาวอเมริกาเข้ามาลงบันทึกประจำวันถึงการซื้อขายถุงมือยาง แต่สิ่งที่ ผกก.เชื่อนายสันธนะ คือเขาอาจไม่ได้รู้เห็นเรื่องการอุ้มรีด เพราะเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้หลังจากมีเหตุการณ์อุ้มทำร้ายกัน
ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ ยังระบุอีกว่าคดีนี้ มีกลุ่มคนไทยถูกแจ้งความดำเนินคดีเรื่องอั้งยี่ ซ่องโจรเท่านั้น ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวกับการโกงถุงมือยางแต่อย่างใด และอีกหลาย ๆ คดีก็พบว่าชาวต่างชาติหลอกซื้อขายกันเองทั้งนั้น
ความเชื่อมโยงของทั้ง 2 คดี และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะชาวไต้หวัน ค่อนข้างสอดคล้องกับข้อมูลของ บริษัท แพดดี้ เดอะ รูม เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 2560 ทุนจดทะเบียน ณ ปัจจุบัน 2 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 139 ห้างสรรพสินค้า เดอะสตรีท ชั้น 3 ห้องเลขที่ 301-304 ถนนรัชดาภิเษก ดินแดง กทม. แจ้งวัตถุประสงค์การประกอบกิจการว่า ผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม
เอกสารจดทะเบียนระบุชื่อ นายลุก เฟย หยาง หยาง เป็นกรรมการเพียงรายเดียว และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงทำให้เชื่อได้ว่าเป็นกิจการของคนจีนที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออก โดยมีกลุ่มคนจีน และคนไต้หวัน เป็นนายหน้าติดต่อลูกค้า
โรงงานที่ใช้ชื่อใกล้เคียงกับบริษัท มีประวัติถูกตรวจค้นและตรวจยึดของกลาง เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และถุงมือยางไม่ได้มาตรฐานหลายครั้ง
ส่วนอีกบริษัทหนึ่ง คือบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด ประกอบกิจการทางการเกษตร ที่ปรากฏในข่าวของ CNN ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปเกี่ยวข้องในขบวนการส่งออกถุงมือยางใช้แล้ว-สกปรกนับสิบล้านชิ้นเข้าสู่สหรัฐฯ แต่ทางบริษัทออกมาชี้แจงผ่านทางเว็บไซด์ว่า มีผู้สร้างเว็บไซต์และใช้ชื่อแบรนด์บริษัทของหลอกลวงขายถุงมือ และขายให้กับลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ผ่านการซื้อขายกับทางบริษัทโดยตรง
งานนี้ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเท่ากับว่าไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก “ถุงมือยางมือ 2” ซึ่งไม่ได้คุณภาพ และยังเสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาด โดยมีกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติมาลงทุนใช้ไทยเป็นฐาน จ้างแรงงานต่างด้าวเป็นแรงงาน และสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง
ที่น่าสนใจก็คือ บริษัท แพดดี้ เดอะ รูม ที่จดแจ้งที่ตั้งในเดอะสตรีท รัชดาฯ นั้น แท้ที่จริงแล้วคือการเช่าพื้นที่บริษัทอื่นเพื่อรับส่งเอกสารเท่านั้น
เรื่องนี้ร้อนถึง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ตอนเช้าก่อนประชุม ครม. นายจุรินทร์ ตอบคำถามนักข่าวว่ายังไม่ทราบเรื่องที่ CNN ออกมาแฉว่าไทยเป็นแหล่งส่งออกถุงมือยาง มือ 2 ที่สกปรกและด้อยคุณภาพ
ต่อมาหลังประชุม ครม. นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์อีกรอบหนึ่งว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบรายละเอียด เบื้องต้นได้รับรายงานว่า จากสถานการณ์โควิดรุนแรง ทำให้มีความต้องการถุงมือยางจำนวนมาก จึงทำให้เกิดกลุ่มมิจฉาชีพลักลอบนำเข้าและส่งออก ซึ่งเป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์โดยตรง อาจเกี่ยวข้องกับองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นจึงต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามตรวจสอบต่อไป
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมีทั้งมุมคดีส่งถุงมือยางอื้อฉาว ที่สหรัฐเตรียมประสานเพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ผู้รับผิดชอบในประเทศไทยกลับยังนิ่งๆ ส่วนอีกมุมคือ คดีอุ้มรีดนักธุรกิจไต้หวัน ซึ่งกระทำผิดอย่างโจ๋งครึ่มกลางเมือง ขณะนี้คดีถึงไหน เพราะมีข่าวว่ามีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องในข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร จำนวน 17 คน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา เดินทางกลับสหรัฐไปเรียบร้อย แม้จะมีการพยายามอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ตาม