ย้อนคำร้อง "ยุบเพื่อไทย" ก้าว(ไม่)พ้น "ทักษิณ"?
ประเด็น "ร้องยุบพรรค" ภาพจำที่ตามหลอนเพื่อไทย ภายใต้แสงและเงา ที่ยังก้าว(ไม่)พ้น "ทักษิณ" และคนในตระกูลชินวัตร
ประเด็น “ยุบพรรค” ดูเหมือนจะยังเป็นปมร้อนที่ตามหลอกหลอนพรรคเพื่อไทยไม่เลิก ล่าสุดเป็นกรณีที่ “นักร้อง(เรียน)” อย่าง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
ขอให้ตรวจกรณีที่ขุนพลข้างกาย “นายใหญ่ดูไบ” อย่าง “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้อำนวยการพรรค กรณีร่วมขึ้นเวทีปราศัยในการประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย ที่ จ.ขอนแก่นเมื่อ 28 ต.ค. ซึ่งอาจขัดต่อบทบัญญัตติของกฎหมาย
เนื่องจาก “หมอเลี้ยบ” เคยต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีความผิดเกี่ยวกับหน้าที่ราชการ 2 คดี ซึ่งน่าจะมีลักษณะต้องห้ามเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือผู้อำนวยการพรรค
ฉะนั้นการปรากฏตัว และปราศรัยเกี่ยวกับนโยบายของ นพ.สุรพงษ์ อาจเป็นการกระทำอันฝ่าฝืน พ.ร.ป. พรรคการเมือง ม. 28 และ ม.29 ที่ห้ามบุคคลภายนอก“ครอบงำพรรค”และอาจเข้าข่ายยุบพรรค
คล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาสวนกลับถึงกรณีดังกล่าว ทำนองว่า “ปัจจุบันหมอเลี้ยบเป็นเพียงรักษาการผู้อำนวยการพรรค จนกว่าจะแต่งตั้งใหม่ เพราะหัวหน้าพรรคชุดเก่าลาออก พร้อมยืนยันว่าการตั้ง นพ.สุรพงษ์ ไม่ขัดต่อบทบัญญัติทางกฎหมาย”
ยิ่งไปกว่านั้น “หมอชลน่าน” ยังส่งสารไปถึง“เรืองไกร” นักร้อง(เรียน)รายวันรายนี้ว่า จากนี้ต้องหาช่องกฎหมายในการดำเนินการกลับ ในประเด็น “ร้องเท็จ” อีกด้วย
ทว่า การร้องยุบพรรคดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา “เรืองไกร” ได้ยื่นคำร้องต่อกกต.เพื่อพิจารณาประเด็นยุบพรรคเพื่อไทย จากกรณีปรากฏคลิปภาพระหว่าง “เกรียง กัลป์ตินันท์” วีดิโอคอลกับกับนายใหญ่
มีบทสนทนาที่ส่อนัยทางการเมือง รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
การออกมาประกาศศึก “ส่งสารท้ารบ” ของเรืองไกร และพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมา มีการมองว่า ไม่ต่างอะไรกับการชิงเกม “ล้างแค้น”บ้านหลังเก่า ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกจัดลำดับอยู่ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 41 ก่อนจะจบแบบไม่สวยกับค่ายเพื่อไทย
ทั้งยังเป็นการสร้างผลงานเข้าตา “นาย” ภายใต้ชายคาหลังใหม่ไปในคราวเดียวกัน
แต่กระนั้นหากย้อนไปดูคำร้องก่อนหน้านี้ที่มีการร้องยุบพรรคเพื่อไทย จะพบว่าไม่ได้มีแต่แค่คำร้องของเรืองไกรเพียงคนเดียวหากแต่ยังรวมไปถึงนักร้อง(เรียน)รายอื่น ซึ่งแต่ละคำร้อง ล้วนมีเงื่อนปมที่หนีไม่พ้นประเด็นเพื่อไทยภายใต้ “แสงและเงาทักษิณ”
ทั้งกรณีที่ “สนธิญา สวัสดี” ที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้พิจารณาเสนอศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคเพื่อไทย กรณีมีการเผยแพร่คลิปอดีตนายกฯ วีดิโอคอลพูดคุยในงานเลี้ยงส.ส.และเป็นกรณีเดียวกับที่เรืองไกรได้ยื่นคำร้อง
รวมถึงแกนนำม็อบ3นิ้วออกมาระบุถึงท่อน้ำเลี้ยงม็อบที่ส่งผ่านมาจากพรรคเพื่อไทย และมีการจับตาไปที่คนแดนไกล และกรณีพรรคเพื่อไทยมีมติขับ2ส.ส."พรพิมล ธรรมสาร"และ "ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ" หลังโหวตส่วนมติพรรค
หรือก่อนหน้านี้ คือกรณีที่ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.ตรวจสอบ “จดหมายน้อย” อ้อนคนขอคะแนนคนเชียงใหม่ ให้กับ “ส.ว.ก๊อง” พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัคร อบจ.เชียงใหม่ ในการเลือกตั้งวันที่ 20 ธ.ค.
หรือเมื่อเร็วๆนี้คือกรณีที่ "นายใหญดูไบ"ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยปรับท่าทีต่อกรณีดังกล่าว
ยังไม่นับรวมก่อนหน้าที่จะมีการเมืองตั้งเมื่อปี2562 กรณีปรากฏภาพ 2 อดีตนายกฯ “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์(ชินวัตร)” กำลังวีดิโอคอลพูดคุยกับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกฯ พร้อมแกนนำ และอดีต ส.ส. ในห้วงก่อนการเลือกตั้งปี 62 ท่ามกลางกระแสดูด ส.ส.ของบรรดาพรรคน้อยใหญ่
ร้อนถึง “พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา” เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่สั่งให้ฝ่ายกิจการพรรคการเมืองของ กกต.ตรวจสอบในท้ายที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงกลายเป็นภาพจำที่ตามหลอนเพื่อไทยภายใต้เงาทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร