“ม็อบ3นิ้ว”รีแบรนด์ สู้“ระบอบเก่า” ฟ้องโลก-ปลุกรุ่นใหม่“ไทยล้าหลัง”
“ม็อบ3นิ้ว” รู้ดีว่าระบอบเก่าที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยมักจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมโลก ดังนั้นการปลุกให้เห็นว่าไทยมีการปกครองแบบย้อนยุคอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้โลกหันมาสนใจปัญหาภายในของประเทศอย่างจริงจัง
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสารพัดม็อบ ที่มักจะรวมตัวกันในนาม “ม็อบ 3 นิ้ว” แนวร่วม“กลุ่มราษฎร”ปรับยุทธวิธีเคลื่อนเกมการเมืองบนท้องถนน ด้วยยุทธศาสตร์ “ทะลุฟ้า” จน “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยว่าการชุมนุมและพฤติกรรมของแกนนำถือเป็นการล้มล้างสถาบันฯ
ยุทธศาสตร์ใหม่ของม็อบ 3 นิ้ว ได้มีการรีแบรนด์ใหม่ ใช้อีกชื่อ “กลุ่มไม่เอาสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ในการเคลื่อนไหว โดยหันมาใช้ยุทธวิธีปะทะทางอ้อม แต่เป้าหมายคงเดิม เพิ่มเติมคือ การชูประเด็น“ระบอบเก่า”ที่ถูกเรียกว่า"ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ที่รื้อมาปัดฝุ่นใหม่ โดยนำมาใช้ปกครองกดทับ“ระบอบใหม่”ที่ถูกเรียกว่า"ระบอบประชาธิปไตย"
การชุมนุมของ “ม็อบ 3 นิ้ว” ที่เริ่มมาจากความไม่พอใจคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่มีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากปมที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ออกเงินกู้ให้พรรคของตัวเอง ก่อนจะพัฒนามาสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ
เนื่องจากบรรดาแกนนำม็อบ 3 นิ้ว ทั้งที่อยู่หน้าฉาก-หลังฉาก และอาจจะหมายรวมถึงภารกิจของพรรคอนาคตใหม่ ที่อิงกับการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของ “คณะราษฎร”
เป้าหมายสุดท้ายของม็อบ 3 นิ้วจึงถูกฝังกันมาหลายทอด ว่าภารกิจที่เป็นพันธะต้องทำให้สำเร็จคือการแยก “สถาบันฯ” ออกจากการเมืองให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ก่ำกึ่งเหมือนที่ผ่านมา
ทว่า ฝันอันไกลโพ้นของม็อบ 3 นิ้วไม่ได้พัฒนาไปทีละขั้นตอน จังหวะรุกที่เชื่อกันว่าม็อบจุดติดแล้ว ทำให้แกนนำม็อบ 3 นิ้ว รุกไล่จนเลยธง จากต่อต้านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ โดยหวังทิ่มแทงไปที่เครือข่าย “มือที่มองไม่เห็น” และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม
ธงการชุมนุมในช่วงแรกจอดป้ายอยู่ที่การขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่เมื่อแกนนำม็อบ 3 นิ้วที่อยู่หลังฉากเห็นโอกาสที่จะสามารถชนะศึกแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ จึงไม่รอช้าที่จะยื่นข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ให้สังคมไทยได้ถกเถียง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
จุดแข็งของม็อบ 3 นิ้วจึงกลับกลายมาเป็นจุดอ่อน ศรย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงแม้ “คนรุ่นใหม่” หัวก้าวหน้าต้องการปฏิรูปสถาบันฯ และ“คนเสื้อแดง” ที่เจ็บแค้นกับเรื่องราวในอดีตพร้อมแบ็คอัพให้ แต่อย่าลืมว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการดึงสถาบันฯ มาเกี่ยวโยงกับการเมือง
การชุมนุมของม็อบ 3 นิ้ว จึงสะดุดขาตัวเอง จากเคยเฟื่องฟูนัดชุมนุมแต่ละครั้งมี “คนรุ่นใหม่-คนเสื้อแดง” เข้ามาร่วมการชุมนุมจำนวนมาก และมากันแบบไม่จำเป็นต้องจัดตั้ง หรือที่เรียกกันว่า “ม็อบออแกนิค” แต่การชุมนุมแบบนัดเย็นกลับค่ำ ไม่สามารถทำให้ “ผู้มีอำนาจ” หวาดกลัว
เมื่อจับทางการเคลื่อนไหวได้ “ผู้มีอำนาจ” ยังงัดกลไกทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยการชุมนุมหลายครั้งมีการพาดพิงสถาบันฯ แต่ “พล.อ.ประยุทธ์” ใช้กฎหมายปกติมาดำเนินการ แต่เมื่อมีภาพมิบังควรเกิดขึ้นหลายครั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” จึงงัด ม.112 กลับมาบังคับใช้ทันที
การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 แม้ม็อบ 3 นิ้วจะไม่เกรงกลัว แต่ต้องยอมรับว่าขั้นตอนการฟ้องร้องที่รวดเร็ว ทำให้แกนนำอ่อนกำลังลง จากเดิมที่มีตัวชูโรงจำนวนมาก มาถึงตอนนี้แต่ละคนอ่อนแรง จนทำให้การชุมนุมไม่มีพลังมากเท่าที่ควร
ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการชุมนุมข้อเรียกร้องทะลุฟ้า เมื่อ 10 ส.ค.63 เป็นการล้มล้างการปกครอง ทำให้การเคลื่อนไหว-เคลื่อนเกม ยิ่งทำได้ลำบากมากขึ้น
ที่สำคัญคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เหมือนการยื่นดาบให้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับ “ม็อบ 3 นิ้ว” อาจส่งผลให้แนวร่วมลดน้อยถอยลงหรือไม่
ขณะที่อีกทางหนึ่ง “ม็อบ 3 นิ้ว” ก็ต้องสู้ เพื่อสานต่ออุดมการณ์ที่ต้องทำให้เสร็จ พร้อมกับช่วยเหลือ “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” ที่ต้องโทษจำคุกจำนวนมาก และมีอีกหลายคนที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดี
เมื่อต้องสู้ต่อ โดยไม่สามารถปะทะกับ “สถาบันฯ” ได้โดยตรงเหมือนเมื่อก่อน “ม็อบ 3 นิ้ว” จึงต้องปรับยุทธวิธี
ล่าสุด การออกแถลงการณ์พิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย ไม่เอาระบอบเก่า ไม่เอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือเป็นการแก้เกม หันมาปะทะทางอ้อม
“แกนนำม็อบ 3 นิ้ว” รู้ดีว่าระบอบเก่าที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยมักจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมโลก ดังนั้นการปลุกให้เห็นว่าไทยมีการปกครองแบบย้อนยุคอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้โลกหันมาสนใจปัญหาภายในของประเทศอย่างจริงจัง
อีกทั้งยังเป็นเงื่อนไขที่สามารถสื่อสารไปยัง “คนรุ่นใหม่” ที่ไม่กล้าออกมาชุมนุม เพราะมีเงื่อนไขของการปฏิรูปสถาบันฯ แต่กับปมการปกครอง “ระบอบเก่า” ที่ล้าสมัย หากมีการทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของการปกครอง และข้อเสีย จะส่งผลต่ออนาคตของ “คนรุ่นใหม่” อย่างไร อาจจะเข้าทาง “ม็อบ 3 นิ้ว” เวอร์ชั่นใหม่ได้
ดังนั้นจึงต้องติดตามว่าแกนนำม็อบ 3 นิ้ว ทั้งหน้าฉาก-หลังฉากจะเซ็ตเกมการเมืองต่อไปอย่างไร เพราะหากยอมหยุดเคลื่อน-หยุดชุมนุม แรงต่อรองกับ “ขั้วอำนาจ” จะสลายหายไป
เมื่อไฟต์บังคับให้ต้องเคลื่อนต่อ การปรับยุทธวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อรักษากองกำลัง “ม็อบ 3 นิ้ว” ให้แข็งแกร่ง-แข็งแรง ในการต่อสู้กับ “ขั้วอำนาจ” เพราะศึกครั้งนี้ไม่ได้จบเพียงแค่ 1-2 วัน หรือ 1-2 ปี แต่เป็นการต่อสู้แห่งยุคสมัย ที่จะใช้เวลาอีกนาน