“พรรคก้าวไกล” ค้าน “ทรู-ดีแทค” ควบรวม จี้ กสทช.ยุติการผูกขาดทุนใหญ่
“พรรคก้าวไกล” คัดค้านการควบรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” เปิดให้บริการเครือข่ายมือถือ จี้ กสทช.-องค์กรกำกับดูแล ต้องกล้าหาญ ยุติการผูกขาดของ “ทุนใหญ่” เพื่อปกป้องผู้บริโภค
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2564 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวคัดค้านกรณีการควบรวมระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย อย่างทรูคอร์ป และโทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค โดยตั้งคำถามว่า การควบรวมนี้เป็นการผูกขาดหรือครอบงำตลาดหรือไม่
“การควบรวมครั้งนี้ จะทำให้บริษัทใหม่นั้นกลายเป็นผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งทันที และมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เมื่อวัดจากจำนวนเลขหมาย ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการควบรวมนี้จะทำได้โดยไม่เป็นการผูกขาด หรือครอบงำตลาดได้อย่างไร และหากดีลนี้สำเร็จจะเกิดผลอย่างไรกับผู้บริโภค และคู่แข่ง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นว่า หน่วยงานใดจะเป็นผู้กำกับดูแล เพราะแม้ พรบ.แข่งขันทางการค้า จะถูกยกเว้น หากอุตสาหกรรมนั้นมีกฎหมายกำกับดูแลเฉพาะอยู่แล้ว เช่น กรณีนี้เป็นอุตสาหกรรมโทรคมนาคมย่อมจะอยู่ภายใต้กำกับของ กสทช. ซึ่งควรจะเป็นไปตามประกาศของกทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ในข้อ 8 อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ถือใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเป็นบริษัทลูก (ทรูมูฟ - ดีแทคไตรเน็ต) แต่บริษัทที่จะควบรวมเป็นบริษัทแม่ (ทรูคอร์ป – โทเทิลแอคเซสคอมมูนิเคชั่น) นี่อาจกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกรณีนี้จะหลุดจากมือ กสทช. ไปสู่การขออนุญาตต่อบอร์ดแข่งขันทางการค้า ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะตามประกาศหลักเกณฑ์การควบรวมของ กสทช. นั้นเข้มงวดกว่าของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า แถมยังระบุหลักเกณฑ์ที่เป็นตัวเลขชัดเจนไว้อีกด้วย
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า แม้แนวโน้มธุรกิจโทรคมนาคมทั่วโลกจะมีการควบรวมกิจการมากขึ้น แต่จากการสำรวจในเบื้องต้นพบว่า เกือบทุกประเทศทั่วโลกมีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ต่ำกว่า 3 เจ้า ที่เป็นเจ้าที่มีส่วนแบ่งการตลาดอย่างมีนัยสำคัญแทบทั้งสิ้น เช่น ในมาเลเซีย กลุ่มเทเลนอร์ได้ควบรวมกิจการกับบริษัทเอเชียตา และอยู่ในระหว่างการขออนุญาตจากองค์การกำกับดูแล หากดีลนี้สำเร็จก็ยังพบว่าจะเหลือผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้งหมด 3 เจ้า ยังไม่นับรวมเจ้าเล็กๆ ที่กินส่วนแบ่งตลาดรวม 16%
“แน่นอนว่ากลุ่มเทเลนอร์ที่มีนโยบายถอนการลงทุนจากภูมิภาคนี้อยู่แล้ว จึงเลือกที่จะเป็น ‘พาร์ทเนอร์’ กับกลุ่มซีพีโฮลดิ้ง แต่ความเป็นจริงคือยังมีตัวเลือกอีกมากมายที่ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกัน ซึ่งสามารถเป็น ‘พาร์ทเนอร์’ ใหม่กับกลุ่มเทเลนอร์ องค์กรที่ยึดมั่นในบรรษัทภิบาลอย่างเทเลนอร์ไม่สมควรจะเลือกทางเลือกที่จะเป็นการทำลายการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมของไทยแบบนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเซ็นข้อตกลง MOU ซึ่งอาจหมายถึงการเปิดเผยข้อมูลทางการค้า ฐานลูกค้า ราคาค่าบริการ และต้นทุน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ความสำคัญต่อการแข่งขันทั้งสิ้น”
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าววแสดงความกังวลต่อผลกระทบหลังจากการควบรวมต่อผู้บริโภคเมื่อมีการแข่งขันลดลง โดยระบุว่า หากย้อนกลับไปในสมัยที่ยังมีผู้ประกอบการเพียง 2 เจ้า ค่าโทรนาทีละ 5 บาทสำหรับ prepaid และมีค่าแรกเข้า 500 บาท/เดือน สำหรับ postpaid ถ้าเราต้องกลับไปอยู่ในสภาพที่มีการแข่งขันอย่างจำกัด จะมีอะไรการันตีได้ว่าผู้บริโภคจะยังได้รับบริการในราคาที่สมเหตุสมผล และคุณภาพที่ดีกว่าปัจจุบัน
“เราคงต้องฝากความหวังไว้กับองค์กรกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นบอร์ด กสทช. หรือ บอร์ด กขค. ที่ต้องแสดงความกล้าหาญที่จะปกป้องผู้บริโภค ซึ่งความหวังก็ยิ่งดูริบหรี่หากเราย้อนไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของบอร์ดทั้งสองชุด ถ้าจะมีอะไรที่เป็นความหวังได้บ้าง ก็คือว่าที่บอร์ดชุดใหม่ของกสทช. ที่จะมีสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และด้านเศรษฐศาสตร์เพิ่มขึ้นมาจากเดิม แต่สถานะของบอร์ดชุดใหม่ก็ยังลูกผีลูกคน เพราะวุฒิสภายังไม่บรรจุวาระการรับรองแม้ว่าจะมี 7 รายชื่อของว่าที่บอร์ดชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว และคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบคุณสมบัติจะหมดวาระการพิจารณาไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว