เกมสภาฯ + กติกาเลือกตั้ง จังหวะ“ฝ่ายค้าน”เขย่านายกฯ
ต้องเกาะติดทุกจังหวะก้าวทางการเมืองของ “ขั้วฝ่ายค้าน” ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เพราะมีเวทีสภาเอาไว้เล่นงานรัฐบาลได้แทบทุกชอต โดยมีเป้าหมายเขย่าเก้าอี้นายกฯ ลดเครดิตการเมือง จนกว่าจะถอดใจ
การเมืองคึกคักต้อนรับรัฐธรรมนูญระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ซึ่งเป็นเพียงแค่ขั้นตอนการจัดทำกฎหมายลูกที่แต่ละพรรคการเมืองจ้องจะผลักดันสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้ตัวเองได้เปรียบมากที่สุด
โดยการจัดทำกฎหมายลูกคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2565 หลังจากนั้นนับถอยหลังให้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยวาระเทอมของรัฐบาลจะสิ้นสุดลงในวันที่ 23 มี.ค.2566 เพียงเท่านั้น
เทียบฟอร์มกันแล้ว ฝ่ายที่คึกคักกว่ากลับเป็น “ขั้วฝ่ายค้าน” ที่ชักธง พร้อมลงสนามเลือกตั้งกันแล้ว โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มั่นใจว่าการเลือกตั้งบัตร 2 ใบจะทำให้พรรคกลับมามีโอกาสชนะขาด และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ส่วนพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ ซึ่งร่วมวงฝ่ายค้านด้วยกัน แม้จะต้องหาสูตรแก้สมการการเมือง เพราะบัตรเลือกตั้ง 2 ใบไม่เอื้อต่อพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก สักเท่าไร แต่ก็พร้อมลงสนาม
ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ ต้องจับตาว่า “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร จะใช้ยุทธศาสตร์เจรจากับ ส.ส.และอดีตผู้สมัคร ส.ส.ที่แอบดีลกับ “ขั้วรัฐบาล”กลับมาอยู่ร่วมด้วยช่วยกันในชายคาพรรคเพื่อไทยได้มากน้อยแค่ไหน
เนื่องจากการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ทำให้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” กลับมามีโอกาสชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล แม้จะมีเงื่อนไขของ “250 ส.ว.” โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่หากสามารถระดมขุนพลเบอร์ต้นๆ กลับมาได้ โอกาสชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้ส.ส.เกินครึ่งของสภาย่อมมีสูงขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ “ทักษิณ-เพื่อไทย” เตรียมเดินหน้ายุทธศาสตร์เก็บคะแนนจาก “คนรุ่นใหม่” แคมเปญที่จะดึงคะแนนมาได้จะเริ่มเปิดเผยออกมา โดยนำเสนอผ่าน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัฒกรรม พรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกัน ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย จะเดินเกมเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยจะพุ่งปมการยื่นฟ้องและสิทธิการประกันตัว เพื่อชิงแต้มจาก “ม็อบ 3 นิ้ว” ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ต้องวัดกันยาวๆ แต่ชั่วโมงนี้ขอเก็บแต้มก่อน
ขณะที่พรรคก้าวไกล มีภารกิจรักษาฐานเสียง “คนรุ่นใหม่” เอาไว้ให้ได้ เพราะเกือบทุกพรรคการเมืองจะลงมารุมทึ้งคะแนนจาก “คนรุ่นใหม่” ที่จะมีฐานคะแนนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่อีกทางหนึ่งพรรคก้าวไกลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมแต้มเพิ่ม เนื่องจากการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ และจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่น้อยลงไม่เอื้ออำนวยกับพรรคก้าวไกลเสียเท่าไร
ดังนั้น คอยจับตาดูการเคลื่อนเกมของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่จะสอดประสานกับการเคลื่อนไหวของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า อย่างไร
ยุทธศาสตร์สำคัญคือการแยกกันเดิน ร่วมกันเก็บแต้มจะมีให้เห็นอย่างแน่นอน โดย “คณะก้าวหน้า” ลงพื้นที่ถางทางเอาไว้ให้ ก่อนที่ “พรรคก้าวไกล” จะลงพื้นที่เดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อตอกย้ำแนวคิด-ตอกย้ำอุดมการณ์ จากอนาคตใหม่ ก้าวหน้า มาสู่ก้าวไกล
สำหรับพรรคเสรีรวมไทย ความนิยมอยู่ที่ตัวของ “วีรบุรุษนาแก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวพรรคเสรีรวมไทย การขับเคลื่อนจึงไม่ซับซ้อน ทางเดียวที่จะสร้างคะแนนนิยมได้คือการลงพื้นที่ของ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” เอง โดยหลังจากนี้โปรแกรมลงพื้นที่ของหัวหน้าพรรคจะอัดแน่นอย่างแน่นอน เพราะสมาชิกพรรคคนอื่นไม่มีแสงในตัวเอง
ส่วนพรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ มีภารกิจเหมือนกัน คือการรักษา ส.ส. ในพื้นที่ของตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะพรรคประชาชาติ ที่ต้องเก็บ ส.ส. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะมารวมเสียงกับพรรคเพื่อไทย
การเปิดเกมของแต่ละพรรคการเมืองของ “ขั้วฝ่ายค้าน” จะเริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้น เพื่อสู้กระแสรัฐบาล
ทว่าอีกทางหนึ่งตามภารกิจของ “ฝ่ายค้าน” ก็ยังต้องมาร่วมกันวางเกม ดิสเครดิต “พรรคร่วมรัฐบาล” ให้ได้มากที่สุด โดยโฟกัสไปที่เกมในสภาฯ ซึ่งเป็นเวทีให้ “ฝ่ายค้าน” ได้แสดงความคิดเห็น โชว์วิสัยทัศน์ ได้อย่างอิสระ
โดยกำหนดไทม์มิ่งยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 เอาไว้ในช่วงต้นปี 2565 โดยพุ่งปมความเดือดร้อนของประชาชน ที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แถมปัญหาข้าวยากหมากแพงที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน สามารถจี้ใจดำประชาชน จน “ประยุทธ์-รัฐบาล” อาจเสียทรงได้
นอกจากนี้ “ฝ่ายค้าน” ยังมีโอกาสยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ หลังเปิดสมัยประชุมสภาฯในเดือน พ.ค. 2565 ได้อีกรอบ หาก “ประยุทธ์” ยังไม่ชิงจังหวะยุบสภาไปก่อน ทำให้ “ฝ่ายค้าน” มีโอกาสชำแหละแผล “ประยุทธ์-รัฐบาล” เพื่อเก็บแต้มการเมืองส่งท้ายได้อีกรอบ
หลังจากนี้ ต้องเกาะติดทุกจังหวะก้าวทางการเมืองของ “ขั้วฝ่ายค้าน” ที่เริ่มกลับมาคึกคัก เพราะมีเวทีสภาเอาไว้เล่นงานรัฐบาลได้แทบทุกชอต โดยมีเป้าหมายเขย่าเก้าอี้นายกฯ ลดเครดิตการเมือง จนกว่าจะถอดใจ