เปิดฉายา “ตำรวจ” ปี 64 ผบ.ตร. “หมอปั๊ด ตัดเนื้อร้าย” ด้าน “บิ๊กโจ๊ก” คัมแบ็ก
เช็คได้เลย! ฉายา “ตำรวจ” ประจำปี 2564 ไล่เรียง 10 บิ๊กสีกากี “ผบ.ตร.” เป็น “หมอปั๊ด ตัดเนื้อร้าย” ด้าน “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” มาที่ “โจ๊ก บิ๊กคัมแบ็ก” ส่วน “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” อดีตโฆษก บชน. เป็น “มือปราบยานรก”
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2564 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมฯ , นายสมชาย จรรยา , นายสุรชัย นิโครธานนท์ รองอุปนายกสมาคมฯ , นายธนากร ริตุ เลขาธิการสมาคมฯ , นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความประจำสมาคมฯ พร้อมด้วยตัวแทนจากสื่อต่าง ๆ ร่วมกันคัดเลือกและพิจารณาตั้งฉายาตำรวจ ประจำปี 2564 จำนวน 10 นาย
นายไพโรจน์ เทศนิยม กล่าวว่า ผู้สื่อข่าวในสายงานด้านอาชญากรรมได้ทำงานใกล้ชิดกับแหล่งข่าวที่เป็นต้นธารแห่งความยุติธรรมหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดปีที่ผ่านมาได้เฝ้าติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่จะนำเสนอผลงานสู่สายตาประชาชน และทุกปีจึงได้ร่วมกันตั้งฉายาตำรวจประจำปี ซึ่งเกณฑ์ในการตั้งฉายาได้มีการประชุมร่วมกับตัวแทนสื่อมวลชนจากสังกัดต่าง ๆ เสนอรายชื่อนายตำรวจเข้ามาและทำการคัดเลือกเหลือเพียง 10 นาย มีดังนี้
1.พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายา “หมอปั๊ด ตัดเนื้อร้าย” นับเป็นปีที่สองของการดำรงตำแหน่งสูงสุดในองค์กรตำรวจ และเป็นอีกปีที่มีข่าวคราวอื้อฉาวในแวดวงการสีกากี โดยเฉพาะคดี “อดีตผู้กำกับโจ้” ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตำรวจ
ซ้ำเติมวิกฤตเดิมเกี่ยวโยงกับคดี “บอสกระทิงแดง” และอีกหลายกรณี ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง สร้างแรงสั่นสะเทือนลดทอนความเชื่อมั่นให้กับประชาชน พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่ออย่างหนักแน่นว่า “นิ้วไหนไม่ดีก็ต้องตัดทิ้งเป็นนิ้วๆ” เป็นการส่งสัญญาณเตือนนัยๆ ว่าไม่เลี้ยงคนผิด เปรียบเสมือนหมอที่ต้องผ่าตัดเนื้อร้ายทิ้งก่อนที่จะลุกรามไปทั่วร่างกายและตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ย.สำนักงานตำรวจแห่งชาติไล่ตำรวจออกจากราชการ 166 นาย สั่งปลดจากราชการ 47 นาย ให้ออกจากราชการ 9 นาย รวม 222 นาย จึงเป็นที่มาของฉายา “หมอปั๊ด ตัดเนื้อร้าย”
2.พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายา “เด่น ชิงดำ” โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ มีชื่อเล่นว่า “เด่น” ด้วยบุคลิกสุขุม นุ่มลึก บวกกับความสามารถจนเป็นที่ไว้วางใจทำให้ได้รับมอบหมายงานสำคัญ อาทิ การปราบปรามแก๊งซิ่งป่วนเมือง , เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ตลอดจนภารกิจอื่นๆ เรียกได้ว่า ฉายแววโดดเด่นในเรื่องงาน เป็นอีกหนึ่งนายพลตำรวจที่น่าจับตามองว่าจะมาสานงานต่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในการรับไม้ดูแลกรมปทุมวัน จึงได้รับฉายา “เด่น ชิงดำ”
3.พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) นรต.รุ่น 40 ฉายา “นายพล take me home” จากปัญหาบ่อนพนันภาคตะวันออก พล.ต.อ.สุวัฒน์ เซ็นคำสั่งโยก พล.ต.ท.วีระ จีรวีระ ผบช.ภ.2 เข้ากรุ พร้อมส่ง พล.ต.อ.รอย รักษาการแทน หลังปล่อยให้มีบ่อนผุดขึ้นเต็มพื้นที่ราวกับดอกเห็ด ที่สำคัญยังเป็นต้นตอการแพร่เชื้อโควิด-19 จนนำไปสู่การจับกุม “หลงจู๊สมชาย”ในข้อหาจ้างวานฆ่าและฟอกเงินพร้อมอายัดทรัพย์สินที่คาดว่าได้มาจากการกระทำความผิด 665 รายการมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาทไว้
ล่าสุด พล.ต.อ.รอย ได้สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ บุกเข้าช่วยเหลือคนไทยในตึกใหญ่กลางเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา หลังถูกหลอกไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ต้มตุ๋นคนไทยด้วยกันเองและถูกขังเยี่ยงทาสบังคับให้ทำงานเกือบ 20 ชั่วโมงต่อวัน โดยสามารถพากลับสู่บ้านเกิดนับร้อยรายจึงได้รับฉายา นายพล take me home
4.พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายา “โจ๊ก บิ๊กคัมแบ็ก” หลังจากที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ใช้ชีวิตแบบเงียบๆ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึง 2 ปีเต็ม โดยไม่มีใครคาดคิดว่าจะกลับเข้ามารับราชการเป็นตำรวจอีกครั้ง ด้วยการโอนกลับเข้ามาไปเป็นที่ปรึกษา สบ 9 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ กลับมาผงาดอีกครั้งในตำแหน่งหลักผู้ช่วย ผบ.ตร.ด้วยอายุราชการเหลือ 10 ปี ทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2565 จะขึ้นรอง ผบ.ตร. และอาจจะเป็น ผบ.ตร.ภายในวัย 54-55 ปี อาจจะทำลายสถิติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.ที่ทำไว้ กึ่งทศวรรษ
5.พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฉายา “สำราญ สำเร็จ” เป็นนายพลหนุ่มแห่ง นรต.รุ่น 50 ลูกหม้อนครบาลขนานแท้ ด้วยเคยเป็นเด็กวัด คอยเดินตามพระวัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี กินข้าวก้นบาตรทุกวัน จึงปลูกฝังนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนมีความมุ่งมั่น ผ่านงานสอบสวน สืบสวน ปราบปราม หรืองานสำคัญ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋น ทำงานสิ่งใดมักจะสำเร็จด้วยดี ทำให้ถูกวางตัวคุมทัพเมืองหลวง สานต่อภารกิจสำคัญ จัดการปัญหาอาชญากรรมในเมืองหลวง
ทันทีที่ก้าวมารับตำแหน่ง พล.ต.ท.สำราญ เน้นหนักตำรวจนครบาลต้องดูแลความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอันดับแรก และให้ความสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการทำงาน ภายใต้แนวคิดที่ว่า “นครบาลใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน” และด้วยความตั้งใจในการทำงาน ผนวกกับทีมงานข้างกายมากด้วยฝีมือทำให้บ่อยครั้งสามารถกวาดล้างอาชญากรรมได้อย่างสำเร็จ อาทิเช่น การปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ ยาเสพติด อาวุธปืน หมายจับค้างเก่า คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ และคดีดังระดับประเทศอีกมากมายจึงเป็นที่มาของฉายา “สำราญ สำเร็จ”
6.พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ฉายา “จิรภพ ครบ เครื่อง” ถือเป็นนายพลหนุ่มไฟแรงที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูหน่วยงานสำคัญ ผลงานที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยอยู่กองปราบปราม นายพลหนุ่มคนนี้ได้พัฒนาหน่วยงานในทุกด้านให้มุ่งสู่มาตรฐานสากล
ด้วยโปรไฟล์การศึกษา ที่จบปริญญาโทด้านการบริหารข้อมูลสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลมิชิแกน สหรัฐ ปริญญาเอกวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาธุรกิจเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบหลักสูตรเอฟบีไอรุ่นที่ 271 จากสหรัฐ และประสบการณ์สะสมในการทำงาน จนก้าวมาถึงตำแหน่งแม่ทัพสอบสวนกลาง เรียกได้ว่าครบเครื่อง
7.พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ฉายา “มือปราบยานรก”ในปีที่ผ่านมา พล.ต.ท.ปิยะ ผลงานโดดเด่นในการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ตำรวจนครบาล ควบคู่กับการดำเนินคดีกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง จนผลงานเข้าตารัฐบาล จากเมืองกรุงส่งไปคุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่จังหวัดชั้นในและภาคใต้
ถือว่าเป็นการสนองโยบาลรัฐบาลที่กำหนดให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ก็ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-10 ธ.ค.64 สามารถจับกุมยาบ้าได้กว่า 44 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 684,412 กก. เฮโรอิน 43,999 กก.กัญชาแห้ง 13,030 กก.กัญชาสด 622,209 กก.ฝิ่น19,363และยาเค41,001 กก.อายัดทรัพย์สินได้กว่า 21 ล้านบาท จนได้รับโล่การปราบปรามยาเสพติด ระดับดีเลิศ (อันดับ 1 ของประเทศ) จากท่านนายกรัฐมนตรี จึงได้รับ ฉายา “มือปราบยานรก”
8.พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฉายา “ไซเบอร์ แจง แรงแล้วจ้า” หลังจากปีที่แล้วทางสมาคมตั้งฉายา “แจง 5 จี” มาปีนี้ เดอะแจง ผลงานดีเร่งสปีดตั้งแต่ต้นปี คุมทัพนักรบไซเบอร์กวาดล้างอาชญากรรมเทคโนโลยีทุกรูปแบบ
ไล่เรียงตั้งแต่ จับกุมจิ้งจอกสาว “พิยดา” ที่หลอกขายไอโฟนให้เด็กมัธยม,ไม่เว้นแม้แต่การปราบปรามขบวนการฉ้อโกง แอพเงินกู้ ออนไลน์ รวมทั้งจับกุม “น้องไข่เน่า พร้อมแฟนหนุ่ม” ที่ทำคลิปสยิวผ่านแพล็ตฟอร์ม โอนลี่แฟน รวมแล้วสามารถจับกุมได้ 4,167 ราย ผู้ต้องหา 4,870 คน โดยมียอดรวมมูลค่าความเสียหาย 7,741,490,643 บาท (เจ็ดพันเจ็ดร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนเก้าหมื่นหกร้อยสี่สิบสามบาท) อย่างนี้ไม่แรงแล้วจะเรียกว่าอะไร จึงได้ฉายา “ไซเบอร์ แจง แรงแล้วจ้า”
9.พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ฉายา “พยัคฆ์ร้ายคืนถิ่น” เป็นนายตำรวจฝีมือดีที่ทำงานเชิงรุกจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความไว้วางใจดูแลพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 ที่มี 8 จังหวัด
ก่อนหน้านี้ก็เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ทำให้คุ้นชินพื้นทีเดินได้ทำงานต่อเนื่อง และทันทีที่พล.ต.ท.ธนายุตม์ ก้าวมาดำรงตำแหน่งสั่งกวาดล้างอาชญากรรม-สางคดีเก่า-ลอบเข้าเมืองผิด กม.จนสามารถปิดคดีสำคัญๆได้หลายคดี จึงได้รับฉายาว่า “พยัคฆ์ร้ายคืนถิ่น”
10.พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผู้บังคับการสืบสวนนครบาล ฉายา “อาจารย์นพ จบทุกจ็อบ” เรียกได้ว่าเป็นนักสืบยุค 5 จีจริงๆ มีผลงานเป็นที่ยอมรับมากมาย ด้วยประสบการณ์กว่า 24 ปี บนเส้นทางนักสืบได้ถ่ายทอดวิชาแก่นักสืบรุ่นหลัง และบ่อยครั้งมักจะถูกดึงตัวมาอยู่ในชุดทีมคลี่คลายคดีสำคัญของ ผบ.ตร.หลายยุคหลายสมัย
เห็นได้จากในสมัยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ก็เรียกใช้ ผู้การนพ เป็นทีมงานคลี่คลายในหลายคดี ยาวมาถึง บิ๊กปั๊ด เป็นผู้นำหน่วย ผู้การนพ หรืออาจารย์นพ ก็ยังเป็นตัวหลักคดี “น้องชมพู่” นำไปสู่การจับกุม นายไชย์พล หรือลุงพล วิภา ปิดคดีสะเทือนขวัญฆ่าแหม่มนักท่องเที่ยวชาวสวิสพื้นที่ จ.ภูเก็ต และชุดไล่ล่ากดดันจน พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.เมืองนครสวรรค์ จนต้องขอมอบตัว เรียกได้ว่ามีนพศิลป์ที่ไหนคดีต่างๆมักจะถูกคลี่คลาย จึงเป็นที่มาของ “อาจารย์นพ จบทุกจ็อบ”