“3 สนามซ่อม”วอร์มศึกใหญ่ 2 ขั้ว วัดกระแสเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์
"การเลือกตั้ง" ครั้งต่อไป จะเป็นการเลือกตั้งเชิง "ยุทธศาสตร์" ที่ชัดเจนมากที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งมีเพียง 2 ขั้วหลักเท่านั้นคือไม่ซ้ายก็ขวา ไม่เปลี่ยนแปลงก็ยื้อยุด ย่ำอยู่กับที่
การเมืองในปี 65 ที่ประเดิม เลือกตั้งซ่อม 3 สนามกันตั้งแต่ต้นปี ทั้งที่ ชุมพร เขต 1 สงขลา เขต6 และ หลักสี่-จตุจักร กทม. จะเป็นตัวชี้วัดทิศทาง และอนาคตการเมืองได้เป็นอย่างดี
เมื่อเจาะเป็นรายพื้นที่ การชนะหรือแพ้ของพรรคการเมืองหลักในฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.จะเป็นคำตอบที่น่าสนใจในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งถัดไป
สนามชุมพร และ สงขลา เป็นการแย่งชิงเก้าอี้ ส.ส.ของ “ประชาธิปัตย์” เจ้าของตำแหน่งเดิม ที่ต้องชนกับ “พลังประชารัฐ” กลายเป็นมวยคู่เอกแดนใต้
หากพรรคแม่พระธรณีบีบมวยผม สามารถชนะเลือกตั้งซ่อม ที่เปรียบเป็นการวอร์มอัพขั้นสูงสุดก่อนถึงศึกใหญ่ สัญญาณตรงนี้จะบอกได้ถึงความนิยม และศรัทธาในตัวพรรคที่กลับคืนมา
ในทางตรงกันข้าม ถ้า “พลังประชารัฐ” ชนะ ก็ยิ่งเป็นสัญญาณตกต่ำลงไปอีกขั้น สำหรับพรรคเก่าแก่ในพื้นที่ด้ามขวาน สวนทางความนิยมของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ยังครองใจคนใต้
การขับเคี่ยวกันทั้ง 2 พื้นที่ภาคใต้ เต็มไปด้วยความกดดัน โดยเฉพาะ “ประชาธิปัตย์” หากผ่านศึกนี้ไม่ได้ เค้าลางเสาไฟฟ้าล้ม ภาค 2 อาจเกิดให้เห็นอีก และสุ่มเสี่ยงจะเกิดประสบการณ์อันเจ็บปวดแบบที่เกิดขึ้นใน กทม. เมื่อปี 62
ขณะที่ ศึกซ่อม เมืองหลวง แชมป์เก่าอย่าง “พลังประชารัฐ” ที่เจอของแข็ง อย่าง “เพื่อไทย” และ“ก้าวไกล” นับเป็นด่านโหด สุดหิน แม้ผู้สมัครจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทั้ง “สุรชาติ เทียนทอง” ของ เพื่อไทย และ เพชร “กรุณพล เทียนสุวรรณ” จาก ก้าวไกล ต้องตัดคะแนนกันเอง
“พลังประชารัฐ” เองก็เจอเกมตัดคะแนนด้วยกันเองเช่นเดียวกัน หลัง “ประชาธิปัตย์” ตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัคร โดยอ้างเหตุผลเรื่องมารยาทการเมือง จึงเป็นโอกาสของ “พรรคกล้า” ที่ส่ง “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” เลขาธิการพรรค ลงชิงชัย
มีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่คะแนนของ “ประชาธิปัตย์” ส่วนนี้จะเทมาให้ “อรรถวิชช์” และยังมีแรงสนับสนุนจาก “สกลธี ภัททิยกุล” รองผู้ว่าฯกทม. ที่เพิ่งลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ออกตัวช่วยโกยคะแนนเสียงให้เต็มที่
จึงเป็นความยากสำหรับ “พลังประชารัฐ” ที่ต้องสู้หลายทาง และยังต้องวัดดวงกับกระแสคนกรุงที่มีต่อพรรคจะเป็นอย่างไร ความเป็นบุคคลแห่งปี ของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามผลสำรวจของโพลบางสำนัก จะมีส่วนช่วยผลักดัน หรือฉุดรั้งพรรค คงได้เห็นกัน
ทัศนะของนักกลยุทธ์คนสำคัญ ที่มีความใกล้ชิด “โทนี่ วู้ดซัม” หรือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ฟันธงว่า เขตหลักสี่ มีแค่สองพรรคที่มีโอกาสเป็นฝ่ายชนะคือ ไม่ “เพื่อไทย” ก็ “ก้าวไกล”
แถมยังมองข้ามช็อตว่า “ก้าวไกล” จะผงาดในศึกเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯ กทม.” อีกด้วย น่าสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงขนาดว่าคนใกล้ชิด “โทนี่” ให้ราคา “ก้าวไกล” มากถึงเพียงนี้
ดังนั้น หาก “เพื่อไทย” หรือ “ก้าวไกล” คว้าชัย ได้ ส.ส.หลักสี่ ไปครอง จะเป็นตัวสะท้อนว่า ความนิยมของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ถดถอยลงอย่างชัดเจน แคมเปญ “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” สิ้นมนต์ขลังเรียบร้อยแล้ว และยังสะท้อนได้อย่างดีว่า คนไทยอยากเปลี่ยนแปลง
อาฟเตอร์ช็อกที่จะตามมาของ “พลังประชารัฐ” อาจเผชิญภาวะเลือดไหล “ส.ส.กทม.” รวมถึงแกนนำบางกลุ่มของ อาจถึงจุดที่ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าถึงเวลาต้องทิ้งพรรค หารังใหม่ซบแล้วเพราะความนิยมพรรคตกต่ำ ต้นเหตุสำคัญ ก็มาจากความขัดแย้งภายใน ที่แย่งชิงการนำพรรค
สถานการณ์หลังการเลือกตั้งซ่อม หากผลไม่เป็นใจกับ “พลังประชารัฐ” และ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ยังพอมีเวลาในการสังคายนาการวิธีการทำงานเสียใหม่ ก่อนจะครบเทอมรัฐบาล
“พล.อ.ประยุทธ์” ยังพอมีโอกาส หากอยากจะอยู่ต่อ ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ชัด กล้าคิด กล้าทำ กล้าปฏิรูป เลิกลังเล ลูบหน้าปะจมูก การทำงานแบบระบบราชการ วนเป็นรูทีน ล้าสมัย ไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคม และไม่ตอบโจทย์ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล
การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ที่ชัดเจนมากที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งมีเพียง2 ขั้วหลักเท่านั้นคือไม่ซ้ายก็ขวา ไม่เปลี่ยนแปลงก็ยื้อยุด ย่ำอยู่กับที่
ถึงตอนนั้น“พล.อ.ประยุทธ์” อาจจะยังเป็นตัวเลือกที่ใช่ หรืออาจถูกแทนที่ด้วยคนที่เหมาะกับบริบททางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ที่รุดหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทุกมิติอย่างรวดเร็วมากกว่า