"ส.ส.-ส.ว." หนุนเพิ่มอำนาจ กกต.​จับซื้อเสียง ก่อนมีพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

         ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการอภิปรายของส.ส. ในการประชุมร่วมรัฐสภา วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่....) พ.ศ.... ที่มีผู้เสนอรวม 4 ฉบับ ว่า มีความเห็นสอดคล้องต่อการแก้ไขเนื้อหา อย่างไรก็ดีมีข้อเสนอแนะให้เพิ่มเติมความที่เกี่ยวกับการป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ก่อนที่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีการเลือกตั้ง และให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีอำนาจสั่งระงับ ยุติได้

 

 

         โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา  ว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 และ มาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง มีส.ส.จากพรรคการเมืองขนาดเล็กสอบถามตนถึงการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่าจะคำนวณอย่างไร เพราะบางคนมองว่าควรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อแบบสัดส่วนผสม เมื่อใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ  ดังนั้นการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องคำนวณจากฐาน 100 คน ตนเข้าใจว่าประเด็นดังกล่าว มีส.ส.ยื่นกับผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ไม่แน่ใจว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับเรื่องไว้หรือไม่ 

         "ทั้งที่ความต้องการของตนอยากให้เป็นเขตละ 1 คน ถือว่าบัญชีรายชื่อเป็นของแถมให้นายทุนพรรคการเมืองหรือผู้บริหารพรรคการเมือง แต่ตนเชื่อมั่นว่า ประชาชนเลือกผู้ดีในระดับเขตให้ทำงานในระดับชาติได้ ต้องเปลี่ยนนักการเมืองที่ผูกพันระบบท้องถิ่น หรือ ระบบอุปถัมภ์ เพื่อทำงานระดับชาติ ดังนั้นระบบเลือกตั้งต้องออกแบบให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงโดยให้ได้คนที่มีจิตวิญญาณของประชาธิปไตย ไม่ซื้อเสียง แต่ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ยังได้สร้างระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นระบบบัญชีรายชื่อต้องทำให้มีความชัดเจน” นายชินวรณ์ กล่าว

 

         นายชินวรณ์ อภิปรายด้วยว่าเปลี่ยนระบบการเมือง จากแบบสัดส่วนผสม ที่ใช้ครั้งเดียวในประเทศไทย และ มีปัญหา เพราะต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง จากบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เห็นการเลือกตั้งบริสุทธ์ ยุติธรรม กกต. ต้องเตรียมพร้อมรองรับจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้น นอกจากนั้นตนมองว่าเมื่อใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ลดอิทธิพลการซื้อเสียง ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ในเขตเลือกตั้งของตนมี ผู้ลงสมัคร 38 คน เพราะจะได้ส.ส.แบบพรรค  จึงทุ่มทุน แต่เมื่อเป็นบัตร 2 ใบ ทุ่มทุนซื้อเสียงทำได้ยาก ประชาชนมีเสรีภาพเลือกคนหรือพรรค

 

         ขณะที่นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. อภิปรายสนับสนุนต่อการแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างมาตรการเชิงรุกทางกฎหมายเพื่อให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำงานเชิงรุกไม่รอเฉพาะคนร้องเรียน อย่างไรก็ดีตนขอให้กมธ. พิจารณาต่อประเด็นการป้องกันการทุจริตการซื้อสิทธิ ขายเสียงเลือกตั้งที่เกิดก่อนหน้าให้มีการเลือกตั้ง หากพบให้มีสั่งการเลิกการเลือกตั้งหรือยุติเลือกตั้งได้เพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม

         ส่วนนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนด้วยว่า ควรกำหนดเขตอำนาจของกกต. ให้ชัดเจน รวมถึงการโยกย้ายบุคคล  เพื่อให้การกำกับคนเข้าสู่ตำแหน่งมีความรอบด้าน  รวมไปถึงการจ่ายเงินซื้อเสียง ที่พบว่าในบางพื้นที่พบว่ามีคนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ตั้งสำนักงานเพื่อแจกสิ่งของ  ทั้งนี้แม้การกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนมีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มีการเลือกตั้งต้องถือว่าเป็นการซื้อเสียง จ่ายเงินวันไหนให้ถือว่าเป็นการซื้อเสียง อีกทั้งในประเด็นที่พบว่ามีผู้กระทำผิดพ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. และผู้บริหารพรรครู้เห็น ซึ่งมีโทษถึงการยุบพรรค ควรกำหนดโทษผู้ลงสมัครด้วย ตามเนื้อหาที่พรรคเพื่อไทยเสนอ คือ ให้ระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส. 1 ปี