"รังษี หยุ่น" ผอ.ททบ.5 "บิ๊กโปรเจกต์"
ชื่อและภาพ "พล.อ.รังษี" ปรากฎในเวทีอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมติในห้วงที่ผ่านมา หลังฝ่ายค้านตั้งข้อสังเหตุ ถึงความไม่โปร่งใสและเป็นกลางในการนำเสนอข่าวของ "ททบ.5" หลังเปิดให้บริษัทเอกชนร่วมผลิตรายการ
ฉายแววมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "บิ๊กบี้" พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เลือกเพื่อนรัก "บิ๊กตี๋" พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ นั่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5 )
ในสมัยเรียน รร.จปร. ในทุกๆ เช้า "พล.อ.รังษี" จะทำหน้าที่เล่าข่าว สรุปประเด็นเหตุบ้านการเมือง ทั้งเศรษฐกิจ ต่างประเทศ พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์แบบถึงลูกถึงคน เป็นที่ถูกอกถูกใจของนักเรียน จปร. จนถูกขนานนามว่า "รังษี หยุ่น" ในขณะที่ครอบครัวก็คลุกคลีในวงการธุรกิจ ทำโรงหล่อพระ
"พล.อ.รังษี" เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น22 (ตท.22) รุ่นเดียวกับ "พล.อ.ณรงค์พันธ์" แต่อยู่เหล่าทหารม้า ในขณะที่ "พล.อ.ณรงค์พันธ์" อยู่เหล่าทหารราบ และเคยเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และที่ปรึกษากองทัพภาคที่ 1 (ดูแลความสงบเรียบร้อย 25 จังหวัด ยุค คสช.) ในช่วงที่ "พล.อ.ณรงค์พันธ์" นั่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และช่วยงานจิตอาสาควบคู่ไปด้วย
ห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อและภาพ "พล.อ.รังษี" ปรากฎอยู่ในเวทีอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมติ หลัง สมคิด เชื้อคง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสและเป็นกลางในการนำเสนอข่าวของ ททบ.5 หลังเปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมผลิตรายการ โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดย พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่า ททบ.5 เป็นกิจการด้านสื่อสารมวลชนเพื่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยสาธารณะ กำกับดูแลโดยกองทัพบก ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณของราชการ และยังมีผู้จัดรายการและพันธมิตรร่วมผลิต
"การร่วมมือกับบริษัท กาแล็กซี มัลติมีเดียคอร์เปอเรชั่น จำกัด ถือเป็นเรื่องปกติในการนำพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพร่วมผลิตรายการข่าว และไม่ได้มีส่วนเข้าบริหารสถานี ส่วนการจัดแบ่งรายได้และการประกันรายได้ขั้นต่ำ 65 ล้านบาทต่อปี หากมีรายได้เพิ่มขึ้น ททบ. ก็จะได้รับมากขึ้นตามสัดส่วน"
สำหรับ "ททบ.5"ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี แม้ที่ผ่านมาผู้บริหารคนแล้วคนเล่าพยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้แต่ยุค "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.นั่งเป็นประธานบอร์ด ก็เคยมีข้อเสนอให้เอกชนเข้ามาบริหารแทนทหารแต่ไม่มีเสียงสนับสนุน ข้อเสนอดังกล่าวจึงตกไป
พอมาถึงยุค "พล.อ.รังษี" เป็น ผอ.ททบ.5 ปีแรก ก็ชี้เปรี้ยงทันทีว่า "ช่อง 5 พึ่งพาเรตติ้งไม่ได้ เราเหมือนจระเข้ที่อยู่ในฟาร์ม มีแต่คนโยนไก่ให้กิน มาถึงตอนนี้ต้องออกจากฟาร์ม เพราะขนาดจระเข้ก็ยังไปไม่เป็น ทหารสมัยนี้ไม่ได้โง่ พอจะรู้เรื่องเศรษฐกิจ ถึงได้รู้ว่าเราต้องพยายามขวนขวายหาโปรเจกต์ใหม่ๆ"
จากนั้นไอเดียแสนบรรเจิดจึงบังเกิดขึ้น ทั้งการทำอีคอมเมิร์ซจับมือกับ JD.com ประเทศจีน นำสินค้าเกษตรไทย เช่น ทุเรียน ข้าวหอมมะลิ ฯลฯ ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เน้นสินค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก
การสัมปทานเหมืองแร่ควอตช์ คุณภาพสูง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ลากยาวไปถึง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี นำไปผลิตแผงโซลาร์เซล สร้างกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เมื่อทำแผนเสร็จจะชวนเพื่อนซี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เข้าพบ นายก ฯ เพื่อพิจารณาถึงหลักการ เหตุผลและความจำเป็น นำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในโอกาสต่อไป
ต่อด้วยลงทุนโครงการโซลาร์เซลล์ ผลิตไฟฟ้า หรือ"เมกะโซลาร์ ฟาร์ม" โดยเล็งพื้นที่ราชพัสดุทั่วประเทศที่อยู่ในความดูแลของกองทัพบก 4 ล้านไร่ แต่คาดว่าจะใช้พื้นที่จัดทำโครงการราว 2.4 แสนไร่ โดยทุกๆ 8 ไร่ จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ประมาณ 1 เมกะวัตต์ พร้อมให้ กฟผ. ปตท. และเอกชนที่สนใจร่วมลงทุน
แต่ดูเหมือนทั้ง 3 โปรเจกต์ เดินได้ไม่ถึงไหนเพราะสุ่มเสี่ยงจะทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะโครงการ "เมกะโซลาร์ ฟาร์ม" บนพื้นที่ราชพัสดุ 2.4 แสนไร่ อาจขัดกับระเบียบว่าด้วยการใช้พื้นที่ราชพัสดุ อีกทั้งหน่วยทหารเจ้าของพื้นที่ก็ไม่ร่วมวงด้วย เล่นเอา "พล.อ.ณรงค์พันธ์" ออกอาการเคือง "เพื่อนรัก" อยู่ไม่น้อย ส่วนโครงการสัมปทานเหมืองแร่ควอตช์ เงียบหายไปพร้อมๆ กับ การทำอีคอมเมิร์ซ ขายสินค้าเกษตรออนไลน์
มาปีนี้ 2565 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย "พล.อ.รังษี" นั่งเป็น ผอ.ททบ.5 ก่อนเกษียณอายุราชการ ต.ค.นี้ ได้มีการปรับยุทธศาสตร์กลับไปเป็นจระเข้ที่อยู่ในฟาร์ม รอคนโยนไก่มาให้กินเช่นเดิม ด้วยการลงนามร่วมกับบริษัท กาแล็กซี มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GMC เป็นการต่อสัญญาปีต่อปี พร้อมรับประกันว่า ททบ.5 จะรับรายได้ขั้นต่ำเหนาะๆ 65 ล้านบาทต่อปี
ส่วนสถานการณ์ "ททบ.5" ในปีถัดไปก็คงเป็นไปตามที่ "รังษี หยุ่น" ได้วิเคราะห์เอาไว้ "สำหรับปีนี้ช่อง 5 ไปรอด แต่ปีหน้าไม่ทราบ" หากมองในแง่ดี คือการส่งสัญญาณให้คนที่มารับไม้ต่อ เตรียมรับมือแต่เนิ่นๆ