ปาร์ตี้ กระชับ “อำนาจ” เช็ค "16 พรรค" กองหนุน  “รัฐบาล” 

         คำ่ วันที่ 8 มีนาคม “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้นำรัฐบาล ควง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ที่สโมสรราชพฤกษ์

 

         แน่นอนว่า สิ่งที่ถูกประเมินจาก ปาร์ตี้ มื้อค่ำ รอบนี้ คือ “เช็คเสียง” และ ความปึ๊ก ของ ส.ส. ทั้ง 251 คน ใน 16 พรรคร่วมรัฐบาล 

 

         และถูกตอบว่า “ใช่” ในประเด็นนี้ จากปากของ “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ย้ำว่า คือการส่งสัญญาณว่าการทำงานของรัฐบาลจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน หากเครื่องยนต์ส่วนไหนเสีย หรือ รั่ว เป็นหน้าที่ของพวกเราต้องช่วยกันปะผุ เพื่อนำรัฐนาวาไปให้ถึงฝั่ง

           เหตุที่ต้อง ปะ-ผุ ตามความหมายของ “วราวุธ” นั้น  เชื่อว่า สอดคล้องกับปัจจัยที่ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ที่มีส.ส.รวม 16 เสียง ประกาศเป็นพรรคอิสระ  ไม่ขึ้นกับฝั่งรัฐบาล และไม่ชัดต่อการเข้าสังกัดพรรคฝ่ายค้าน

 

         และสถานการณ์ของรัฐบาล ถูกประเมินจากหลายทิศหลายทางว่า “ขาลง” และถูกฝ่ายค้าน ปรามาสทุกวันว่า ไปต่อไม่ไหว และ “บิ๊กตู่” จะตัดสินใจ  "ยุบสภาฯ” ก่อนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงเปิดสมัยประชุมสภาฯ เดือนพฤษภาคม 

         เพราะหากปล่อยให้ฝ่ายค้านเดินเกมซักฟอก “พล.อ.ประยุทธ์” ที่คุมเสียงในสภาฯ ไม่อยู่ อาจแพ้แบบเสียหน้าให้กับ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ที่ปัจจุบันมีเสียง ไม่ทิ้งห่างจาก ขั้วรัฐบาล มากนัก 

 

         ปัจจุบัน “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” 7 พรรค มีส.ส.รวมกัน 208 เสียง หากรวมกับ พรรค “ผู้กองธรรมนัส” ที่กุมเสียง ส.ส.เศรษฐกิจไทย อีก 16 เสียง และอาจมีเสียงพรรคเล็กมาเติมเต็มได้อีก 8 เสียง จะทำให้ “ฝ่ายค้าน” มีพลังถึง 232 เสียง ห่างจากรัฐบาล แค่ 19 เสียง เท่านั้น

 

         แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะมีตัวเลข ส.ส. 260 เสียง โดยดึง “ส.ส.งูเห่า” จากฝ่ายค้าน มาได้กว่า 10 เสียง เพื่อหนุน “พล.อ.ประยุทธ์” ให้อยู่ในอำนาจ แต่ตัวเลขที่ว่า กับสัญญาลมปาก  ยังไม่มีสิ่งใดการันตี  ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” อุ่นใจ ว่าจะไม่แพ้ เกมในสภา

         2.แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ การแก้ไขมาตรา 272 เพื่อปลดอำนาจ “ส.ว.” ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา ของ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย ที่อาจกลายเป็นฟืน โยนเข้ากองไฟการเมือง  ได้ เพราะ “อำนาจของส.ว.” นี้ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการต่อท่อให้ “ขั้วเก่า”  ได้อยู่ยาวอีกสมัย

 

         ตรวจสอบ “ศึกการเมือง” ที่ “บิ๊กตู่” ต้องเผชิญ เมื่อเวทีสภา เปิด มี 4 เรื่องใหญ่ เริ่มจาก 1.การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) 2 ฉบับ คือ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่...) พ.ศ... และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่...) พ.ศ... ซึ่งจะเป็นกลไกที่ชี้อนาคตว่า “ขั้วอำนาจเดิม” จะได้กลับมาผงาดอีกครั้งหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ 

         รวมไปถึง การแก้รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ที่ “พรรคเพื่อไทย”​ เสนอให้ นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. คือ ต้องได้รับฉันทามติ จากประชาชน ผ่านการเลือกตั้งโดยตรง  ไม่ใช่เลือกมาโดยอ้อม ผ่าน “บัญชีบุคคล” ที่พรรคจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 88 กำหนด

 

         โดยทั้ง 2 เรื่องนี้ คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมิถุนายน 

 

         3.การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่ กระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการ และเตรียมเสนอให้ “คณะรัฐมนตรี” พิจารณาให้ความเห็นชอบ ช่วง 17 พฤษภาคม ก่อนจะเสนอให้สภาฯ พิจารณาวาระแรก ในวันที่ 1-2 มิถุนายน พร้อมกำหนดตารางเวลาให้ สภาฯพิจารณาวาระสองและวาระสาม ช่วง 17 - 18 สิงหาคม

         วาระนี้แม้ “รัฐบาล” จะไม่กังวลใจ เพราะยังมีความเชื่อว่า “สภาฯ” จะไม่คว่ำกฎหมายงบประมาณ ที่เป็นกฎหมายสำคัญ ถึงขั้นรัฐบาลต้องลาออก เพื่อรับผิดชอบ เนื่องจาก งบประมาณ เป็นเรื่องของประชาชน ที่ปัจจุบันมีภาวะเดือดร้อนจากสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การคว่ำรัฐบาล ผ่าน ไม่รับหลักการร่างกฎหมายการเงิน จึงกระทบต่อประชาชนโดยตรง

 

         และที่ผ่านมา “ฝ่ายค้าน” แสดงออกได้อย่างมากคือ "งดออกเสียง” 

 

         และ 4.อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ของ “ฝ่ายค้าน” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 โดย “ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคาะวันที่จะพูดคุย เพื่อกำหนดประเด็น คือ 22 มีนาคม และเป็นไปได้ว่า จะยื่นญัตติฯ ทันทีที่ สภาฯ เปิดสมัยประชุม 

 

         กับ "เสียงไม่ไว้วางใจรัฐบาล” ที่ต้องใช้ คือ มากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาฯ คือ 238 เสียง จากสมาชิกที่มี 475 คน 

         ดังนั้น เสียง ส.ส. ที่ “ประยุทธ์” ยังคุมไม่ได้แบบเบ็ดเสร็จ อาจเป็นรอยรั่ว ที่เสี่ยงพา “รัฐนาวา” ล่มกลางสภาได้ง่าย

 

         มื้อค่ำ กระชับสัมพันธไมตรีของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ครั้งนี้ จึงไม่ต่างอะไรจาก เกมเช็คเสียง เพื่อ “กระชับอำนาจ” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ และ เครือข่าย” ก่อนประเมินทิศทางว่า จะวางแผนอยู่ยาวแบบไหนดี.