“รสนา” ชูนโยบายปราบโกง ชี้หากอยากเปลี่ยนประเทศต้องเริ่มที่เปลี่ยน กทม.
“รสนา” มั่นใจ “นโยบายปราบโกง” เชื่อชาวกทม. ต้องการการเปลี่ยนแปลง พร้อมยืนยันไม่ต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส เน้นการกระจายอำนาจ
นางสาว "รสนา โตสิตระกูล" ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 7 ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ตนเชื่อว่าถ้าประชาชนรู้จักประวัติตนจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาตนและเครือข่ายได้หยุดการทุจริตการจัดซื้อในกระทรวงสาธารณสุขพันสี่ร้อยล้าน และโครงการอื่น ๆ มามากมายตลอดหลายปีรวมถึงต่อสู้เรื่องพลังงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมระบุว่าการหยุดโกงไม่ใช่แค่การตรวจสอบแต่คือการบริหารที่บริสุทธิ์ที่สุด ถ้าหากไม่หยุดโกงก็จะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ เพราะปัจจุบันองค์กรเพื่อความโปร่งใสจัดลำดับประเทศไทยอยู่ในลำดับต่ำลงไปอยู่ในกลุ่ม 21 ประเทศด้อยพัฒนา ดัชนีความโปร่งใสของประเทศไทยตกต่ำมาตลอด เพราะฉะนั้นประเทศที่ไม่โกงคือประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประเทศที่โกงไม่มีทางพัฒนาได้เพราะฉะนั้นตนเชื่อว่าการหยุดโกงคือเรื่องที่สำคัญที่สุด
ในเรื่องการต่อสู้กับคนที่มีกระแสหรือคนที่มีกลุ่มใหญ่นั้นตนเชื่อว่าเป็นเพราะมีกระสุนเยอะมีการทำการตลาด ส่วนตอนนี้ กกต. อนุมัติให้ใช้เงินหาเสียงได้ไม่เกิน 49 ล้าน ในขณะที่เงินเดือนของผู้ว่าฯ กทม. ตลอด 4 ปี คือ 10 ล้านบาท แต่บางคนใช้เงิน 49 ล้านในการหาเสียงหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นต้องตั้งคำถามว่าจะมีการถอนทุนหรือมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวหรือไม่ ถ้าหากมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มีการทำธุรกิจทางการเมืองประชาชนไม่มีทางที่จะได้สิ่งที่ดีและทรัพยากรที่ควรเป็นของประชาชน เพราะฉะนั้นตนเองยืนยันว่าไม่ได้หวาดกลัวและเชื่อว่าคน กทม. มีวิจารณญาณและเชื่อว่าตนจะไต่อันดับไปจนถึงจุดหมายให้ได้ถ้าประชาชนร่วมต่อสู้กับตนเพื่อเปลี่ยน กทม. “ดิฉันคิดว่าชาว กทม. ต้องร่วมมือกับดิฉันในการที่จะหยุดโกงให้ได้ เพื่อที่เราจะได้สามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ได้ และเมื่อเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ได้ เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้” นางสาวรสนากล่าว
เมื่อถามถึงจุดแข็งเรื่องการปราบโกงนั้นรสนาระบุว่า ก่อนอื่นสามารถดูได้จากดัชนีความโปร่งใสของประเทศไทยตกต่ำลงทุกปี ปี 2564 ก็ยังตกต่ำลงอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วจะไปบอกว่าประเทศไทยไม่มีการโกงนั้นเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมามีแต่คนพูดกันว่ามีการโกงกันทุกหย่อมหญ้า สิ่งนี้จะต้องไม่มีอีกต่อไปและมีเพียงประชาชนเท่านั้นที่จะร่วมมือกันทำสิ่งนี้ “หากได้รับอำนาจเข้าไปบริหาร กทม. ดิฉันจะเข้าไปจัดการสะสางและล้างบางการทุจริตคอรัปชั่นถ้ามีตรงส่วนไหนดิฉันจะล้างบาง” นางสาวรสนาระบุ
ในส่วนเรื่องของฐานเสียงจากคน กทม. ที่เคยเลือกตนเป็นสมาชิกวุฒิสภา(สว.) เมื่อปี 2551 ตนเชื่อว่าจะยังคงเป็นฐานเสียงของตนอยู่เนื่องจากเชื่อว่าคน กทม. ต้องการการเปลี่ยนแปลง และประชาชนทั้งประเทศก็ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศแต่จะต้องเริ่มที่ กทม. ก่อน และที่สำคัญต้องหยุดโกง สำหรับเรื่องการปราบโกงที่ควรเริ่มต้นเป็นอันดับแรกนั้นมองว่าเป็นการโกงที่มีอยู่ทั่วไปอยู่แล้วเพราะทุกที่มีการโกงทำให้ประเทศไม่พัฒนาซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด และเชื่อว่าถ้าหากหยุดโกงจะมีทรัพยากรให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่ เช่น บำนาญ ซึ่งเริ่มได้ทันทีที่ กทม. และในยุคสมัยนี้เราจะเป็นคนที่ตัดสินใจว่าจะต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือไม่ซึ่งตนยืนยันว่าจะไม่ต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสแน่นอนแต่จะเน้นเรื่องลดราคาตั๋ว นอกจากนี้ที่ผ่านมาประชาชนอยู่กับโควิดมาแล้ว 3 ปี ประชาชนบางส่วนไม่สามารถทำมาหากินได้ทำให้รายได้ของประเทศลดลง ดังนั้นโครงการใหญ่ต่าง ๆ อาจจะเป็นความเพ้อฟัน ตนคิดว่าจะต้องทำให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้โดยการเสนอการนำฟ้าทลายโจรและยาไทยให้ประชาชนมีใช้อย่างทั่วถึงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่ต้องอยู่กับโควิด นอกจากนั้นจะกระจายงบ 50 ล้าน ต่อเขตให้กับประชาชนในการเสนอโครงการให้ กทม. พร้อมระบุว่าเป็นรูปธรรมของการกระจายอำนาจ