ไขปม ทีม ส.ก.เพื่อไทย "เปลี่ยนสี" ทิ้งกระแสพรรค โหน“ชัชชาติ”
ทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย เดินลำพังอย่างโดดเดี่ยว การลงพื้นที่แต่ละเขต ไม่มี “ชัชชาติ” มาพ่วงช่วยหาเสียง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่วางเป้าเอาไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่า “คนกรุงเทพฯ” ให้ความสนใจตัว “ผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม.” มากกว่าผู้สมัคร ส.ก.เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
กลยุทธการหาเสียง ผู้ว่าฯกทม.-สมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.) ถูกงัดมาใช้ทุกรูปแบบ "เกมบนดิน" ปรับรูปแบบป้ายหาเสียง ผลิตสื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ลงพื้นที่เดินสายพบประชาชน "เกมใต้ดิน" เปิดศึกโซเชียลมีเดีย ขุดอดีตขั้วตรงข้าม โจมตีทุกแฟลตฟอร์ม
“ผู้สมัคร” บางคนแม้จะโดนโจมตีอย่างไร กระแสนิยมในตัวบุคคลแทบไม่มีแต้มลด “ผู้สมัคร” บางคนโดนโจมตีจี้จุดอ่อน ทำให้คะแนนนิยมลดลงบ้าง อยู่ที่ว่าจะมีคำอธิบายมาทำให้ประชาชนเข้าใจได้หรือไม่
โดยกลยุทธหาเสียง-กลวิธีโจมตีคู่แข่งของใครจะได้ผลมากกว่า ในวันที่ 22 พ.ค. “ชาวกรุงเทพฯ” มีคำตอบให้อย่างแน่นอน
แต่ที่ต้องรีบปรับขบวน-ปรับกลยุทธกันใหม่ หนีไม่พ้นทีมหาเสียง ส.ก. พรรคเพื่อไทย ที่นำโดย “เจ๊แจ๋น” พวงเพชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่มีกระแสผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.มาช่วย เนื่องจาก “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เบอร์ 8 ประกาศตัวชัดเจนว่าลงในนามอิสระ
แม้สังคมจะรับรู้ว่า “ชัชชาติ” คือเลือดเนื้อเชื้อไขของ “เพื่อไทย” และผู้สมัคร ส.ก. 50 เขต ของพรรคเพื่อไทย ให้การสนับสนุน “ชัชชาติ” เป็นผู้ว่าฯกทม. แต่กระแส-ความคึกคัก ในการหาเสียงของ ส.ก. พรรคเพื่อไทย เบาบางลงเยอะ เนื่องจากเดินคนละคีย์กับ “ชัชชาติ”
โดยการหาเสียงในช่วงที่ผ่านมา ทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย เดินลำพังอย่างโดดเดี่ยว การลงพื้นที่แต่ละเขต ไม่มี “ชัชชาติ” มาพ่วงช่วยหาเสียง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่วางเป้าเอาไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่า “คนกรุงเทพฯ” ให้ความสนใจตัว “ผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม.” มากกว่าผู้สมัคร ส.ก.เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แตกต่างจากการหาเสียงของ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” เบอร์ 1 จากพรรคก้าวไกล “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” เบอร์ 4 “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” เบอร์ 6 อิสระ (มีผู้สมัคร ส.ก. จากกลุ่มรักษ์กรุงเทพ) ทั้ง 3 คน มีผู้สมัคร ส.ก. เปิดตัวให้การสนับสนุนอย่างชัดเจน
จึงทำให้ วิโรจน์-สุชัชวีร์-พล.ต.อ.อัศวิน สามารถดึงคะแนนนิยมของตัวเอง มาบวกพ่วงให้กับผู้สมัคร ส.ก. ซึ่งแตกต่างจากผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทย โดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับผู้สมัคร ส.ก. พรรคพลังประชารัฐ ที่ไร้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ช่วยหาเสียง ส่งผลความสนใจแทบไม่มี
ล่าสุด ทีม ส.ก.พรรคเพื่อไทย จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีสื่อสารกับประชาชนใหม่ ด้วยการเปลี่ยนป้ายหาเสียง จากเดิมเน้นสีแดงตามแนวทางของพรรคเพื่อไทย มาใช้สีเขียวซึ่งเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสีโทนเดียวกับที่ “ชัชชาติ” ใช้โปรโมทตัวเองในการหาเสียง รวมทั้งลดขนาดป้ายตามรอยชัชชาติ เพื่อประหยัดและปลอดภัย
นอกจากนี้ ทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย ยังเลียนแบบเสื้อหาเสียงของ “ทีมชัชชาติ” ใช้เสื้อสีดำ ตัวอักษรสีเขียว ปรับจาก “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ของ “ชัชชาติ” มาเป็น “ลุยงาน ลุยงาน ลุยงาน” ของทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย หวังสื่อสารกับประชาชนทั้ง 50 เขต ที่ลงพื้นที่หาเสียงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ด้าน “ทีมชัชชาติ” ถึงจะไม่แฮปปี้กับยุทธวิธีของทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย แต่ยอมหลับตาข้างหนึ่ง เพื่อเปิดช่องให้ทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย ได้เพิ่งกระแสของ “ชัชชาติ” เพราะทางหนึ่ง “ชัชชาติ” เองก็อาศัยคะแนนจัดตั้งจาก ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่ลงไปช่วย ผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทย หาเสียงอยู่ด้วย
เพราะอย่าลืมว่าหาก “ชัชชาติ” ชนะการเลือกตั้งนั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. โดยมี ส.ก. จากพรรคเพื่อไทย เข้าไปนั่งอยู่ในสภากทม.น้อยกว่า “ขั้วตรงข้าม” การทำงานของ “ชัชชาติ” ในการอนุมัติงบประมาณ หรือดำเนินโครงการต่างๆ จะมีแรงต่อรองสูง
ดังนั้นเมื่อคำนวณทุกอย่างแล้ว การพบกันครึ่งทางกับทีม ส.ก. พรรคเพื่อไทย ถือว่าคุ้มค่า และไทม์มิ่งดีที่สุดแล้ว