เร็วขึ้น แรงขึ้น 'ปอร์เช่ ไทคานน์' ยกระดับเอาใจนักเดินทาง เพิ่มระยะ ย่นเวลาชาร์จ

"ปอร์เช่ ไทคานน์" ยกระดับเอาใจนักเดินทาง พัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่ เพิ่มระยะทางการใช้งานที่ไกลขึ้นสูงสุด 35% โดยระยะทางสูงสุดที่ทำได้คือกิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP เพิ่มขึ้น 175 กิโลเมตร เป็นการเติมจุดเด่น ลด pain point ของอีวี เพื่อตอบสนองผู้เดินทางไกลที่จะลดจำนวนครั้งการชาร์จลง
ปอร์เช่ ไทคานน์ หรือ Porsche Taycan สร้างความฮือฮาให้กับ ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV เมื่อเปิดตัวครั้งแรกในปี 2562 จากการเข้าสู่พลังงานใหม่อย่างอีวี แต่ยังคงดีเอ็นเอความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเอาไว้อย่างเต็มที่ นั่นทำให้ไทคานน์ได้รับการยอมรับจากแฟนๆ ปอร์เช่ ที่คุ้นชินกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์สมรรถนะสูงมายาวนาน
จากนั้น ปอร์เช่ ก็สร้างความเคลื่อนไหวและเพิ่มความหลากหลายให้กับไทคานน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ก่อนที่จะถึงเวลาของไทคานน์ใหม่ที่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดแล้วพร้อมกับพัฒนาการที่โดดเด่นยกระดับในทุกมิติ
ด้านสมรรถนะเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่ลูกค้าพึงพอใจ ซึ่งที่ผ่านมา ไทคานน์ มีจุดเด่นในด้านนี้อยู่แล้ว แต่การปรับปรุงใหม่ครั้งนี้จะยิ่งเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่เร็วขึ้นมาก เช่น ไทคานน์ และไทคานน์ เทอร์โบ เอส มีอัตรเร่ง 0-100 กม. / ชม. ในเวลา 4.8 วินาที และ 2.4 วินาที ซึ่งเร็วขึ้น 0.6 และ 0.4 วินาที
ไทคานน์ยังมีฟังก์ชัน push-to-pass ใหม่ ที่มาพร้อมกับแพ็กเกจ Sport Chrono ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังได้สูงสุด 70 กิโลวัตต์ ภายในเวลา 10 วินาที เมื่อผู้ขับกดปุ่มใช้งาน นั่นหมายความว่าจังหวะการเปลี่ยนความเร็ว หรือเร่งแซงจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาก เพิ่มความสนุกในการขับขี่และความปลอดภัยในการใช้งาน อัตราเร่งที่ทำได้เร็วขึ้นเป็นผลมาจากการพัฒนาหลายด้านทั้งกำลังขับที่สูงขึ้น เช่น ไทคานน์ เทอร์โบ เอส เพิ่มขึ้น 140 กิโลวัตต์ นอกจากนี้ยังมีระบบ Launch Control เพิ่มความร้อนแรงในช่วงออกตัว ที่จะทำให้รุ่นท็อปคันนี้มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 952 แรงม้า
การปรับปรุงประสิทธิภาพยังมาจากส่วนประกอบอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ระบบส่งกำลังที่ทันสมัยมาพร้อมมอเตอร์เพลาหลังรุ่นใหม่ที่มีกำลังมากกว่ารุ่นก่อนสูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ รวมถึงการใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
แบตเตอรี่ก็มีส่วนสำคัญในการยกระดับสมรรถนะโดยรวม จากการปรับให้สามารถถ่ายทอดพลังได้มากขึ้น การจัดการระบบระบายความร้อนที่ปรับปรุงใหม่ ฮีทปั๊ม (Heat Pump) ซึ่งทำให้แบตเตอรี่มีความเสถียรยิ่งขึ้นทั้งการจัดเก็บและการจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งนี้หมดนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเหมือนออปชันทั่วไป แต่จะรับรู้ได้จากการใช้งาน
สำหรับด้านการดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่ในหลายส่วนเป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของ ปอร์เช่ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ซุ้มล้อหน้า และไฟท้ายใหม่ เพราะนอกจากจะทำให้มีความโฉบเฉี่ยวเพิ่มมากขึ้น ยังมีผลต่อเรื่องของอากาศพลศาสตร์ที่มีผลต่อการรีดประสิทธิภาพในการขับขี่ และยังมีผลต่อการลดการสิ้นเปลืองพลังงานร่วมกับส่วนอื่นๆ เช่น ล้ออัลลอย 21 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่ให้มีหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดี และยางที่ลดการต้านทานการหมุน
การพัฒนาหลักอากาศพลศาสตร์ เมื่อรวมกับยกระดับของแบตเตอรี่ การจัดการแบตเตอรี่ทำให้ ไทคานน์ มีสิ่งที่โดดเด่นขึ้นมาด้านหนึ่งคือระยะทางการใช้งานที่ไกลขึ้นสูงสุด 35% โดยระยะทางสูงสุดที่ทำได้คือกิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP เพิ่มขึ้น 175 กิโลเมตร
ระยะทางที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการพัฒนาระบบนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (recuperation) ที่เพิ่มขึ้นจาก 290 เป็น 400 กิโลวัตต์ที่การขับขี่ความเร็วสูง ทำให้การใช้พลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลต่อระยะทางการใช้งานโดยรวม
ไม่เพียงแต่ระยะทางการขับขี่ที่ไกลขึ้นเท่านั้น แต่การพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จ พัฒนาแบตเตอรี่ ทำให้ ไทคานน์ มีระยะเวลาการชาร์จที่เร็วขึ้น เช่น การชาร์จในสถานีชาร์จ DC แบบ 800 โวลต์ ไทคานน์ใหม่จะสามารถชาร์จได้สูงสุดถึง 320 กิโลวัตต์ และสามารถรักษากำลังการชาร์จที่มากกว่า 300 กิโลวัตต์ ได้นานถึง 5 นาที โดยรวมการชาร์จจาก 10-80% ใช้เวลา 18 นาที ในทุกรุ่นย่อย และปัจจุบัน Performance Battery Plus ยังมีกำลังการผลิตรวม 105 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจาก 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมงจากก่อนหน้านี้ เป็นการเติมจุดเด่น ลด pain point ของ อีวี ได้อย่างลงตัว ตอบสนองผู้เดินทางไกลที่จะลดจำนวนครั้งการชาร์จลง และใช้เวลาในการชาร์จแต่ละครั้งลงอีกด้วย บางทีการแวะซื้อกาแฟสักแก้วอาจจะใช้เวลามากกว่าการชาร์จด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้ อัตราเร่งที่ร้อนแรงขึ้นไม่ใช่เป็นคำตอบสุดท้ายของรถที่มีดีเอ็นเอสปอร์ตอยู่ในตัว แต่ส่วนประกอบอื่นๆ จำเป็นจะต้องพัฒนาไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบเบรก ช่วงล่างที่จะต้องรองรับสมรรถนะที่สูงของมอเตอร์ไฟฟ้าให้ดีพอ ไทคานน์ทุกรุ่นติดตั้งระบบกันสะเทือนถุงลมแบบปรับได้ (adaptive air suspension) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีระบบกันสะเทือนแบบ Porsche Active Ride ใหม่เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบกันสะเทือนจะช่วยให้ตัวถังอยู่ในระดับเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหนของการขับขี่ก็ตาม เช่น การเบรกแบบรุนแรงรถจะไม่มีอาการหน้ายุบ ท้ายยก หรือช่วงการเลี้ยวรถด้วยความเร็วสูง หรือการเร่งความเร็วเรียวแรงบิดมาใช้แบบเร่งด่วนก็ตาม
การที่รถสามารถรักษาระดับเดียวกันเอาไว้ได้ ในด้านการขับขี่ช่วยให้ผู้ขับมีสมาธิอยู่กับรถและเส้นทาง และรู้อาการของรถแบบเรียลไทม์ช่วยให้คุมรถได้ง่าย ขณะที่ผู้โดยสารก็จะได้ความสบายในการนั่ง เพราะระบบกันสะเทือนถุงลมจะชดเชยการเอียงหรือการยกการยุบของหน้ารถ หลังรถ ทำให้ลดการมึนหัวปวดหัวได้ดี
ด้านออปชัน หรือระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ปอร์เช่เติมเต็มให้กับไทคานน์มากขึ้น รวม Porsche Driver Experience รุ่นล่าสุดที่มีหน้าจอและระบบควบคุมที่ได้รับการพัฒนามาอย่างสมบูรณ์แบบ ไฟส่องสว่างโดยรอบ, ระบบช่วยจอดพร้อมกล้องมองหลัง, กระจกมองข้างพับไฟฟ้า พร้อมไฟรอบกระจก เบาะนั่งด้านหน้าแบบอุ่นไฟฟ้า, ช่องวางสมาร์ตโฟนสำหรับชาร์จไร้สาย, ช่องชาร์จไฟฟ้าด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า, สวิตช์โหมดการขับขี่ และ Power Steering Plus
"ไทคานน์" โลดแล่นอยู่ในตลาด อีวี สมรรถนะสูงมายาวนานมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งด้านสมรรถนะ ตั้งแต่ 300-760 กิโลวัตต์ ตัวถัง 3 รูปแบบ ระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ไปจนถึงสีใหม่ สีพิเศษ เช่น สี Purple Sky Metallic
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกสมรรถนะที่สูงขึ้นไป เช่น ไทคานน์ จีทีเอส (Taycan GTS) ที่มาพร้อมเวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น เป็นรุ่นที่สร้างสรรค์ต่อจากความสำเร็จของ Gran Turismo Sport ให้กำลังสูงสุด 515 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Launch Control หรือรถที่ทรงพลังที่สุดตลอดกาล เช่น ไทคานน์ เทอร์โบ จีที (Taycan Turbo GT) และไทคานน์ เทอร์โบ จีที พร้อมแพ็กเกจ Weissach การออกแบบเพื่อการขับขี่ในสนามแข่งโดยเฉพาะ และตัดเบาะหลังออกเพื่อให้ได้อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ดียิ่งขึ้น
ทั้ง 2 รุ่น ให้กำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า โดยรุ่นที่มาพร้อมแพ็กเกจ Weissach ยังสามารถทำลายสถิติเวลาในสนาม Weathertech Raceway Laguna Seca และ Nürburgring โดยที่ Laguna Seca นักขับทดสอบ Lars Kern ทำเวลาต่อรอบได้ 1:27.87 นาที ซึ่งเร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายสำหรับถนนทั่วไปทุกคันที่เคยทำมา ส่วนที่ Nürburgring Nordschleife โดย Kern ทำเวลาต่อรอบได้ 7:07.55 นาที ซึ่งเร็วกว่า 26 วินาที เมื่อเทียบกับสถิติก่อนหน้าที่เขาทำไว้ในไทคานน์ เทอร์โบ เอส สปอร์ต ซีดาน
ไทคานน์ เทอร์โบ จีที มีอัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. ในเวลา 2.3 วินาที หรือ 2.2 วินาที เมื่อใช้แพ็กเกจ Weissach ซึ่งเร็วกว่าเทอร์โบ เอส 0.1-0.2 วินาที และเร่งจาก 0-200 กม. / ชม. 6.6 วินาที (6.4 วินาทีในรุ่น Weissach) ซึ่งเร็วกว่ารุ่น เทอร์โบ เอส 1.3 วินาที
ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชม ปอร์เช่ ไทคานน์ ได้ที่ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม - 6 เมษายน บูธ A15 ที่ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับปอร์เช่ ไทคานน์ รถผู้บริหารไมล์น้อยที่มีให้เลือกหลากหลาย สอบถามข้อมูลได้ที่โชว์รูม ปอร์เช่ อย่างเป็นทางการทุกสาขา