"สภาเภสัชกรรม" ย้ำ "กัญชา" มีประโยชน์การแพทย์ แต่ต้องใช้ให้เหมาะสม
สภาเภสัชกรรม ย้ำ กัญชา มีประโยชน์การแพทย์-ลดอักเสบผิว-สะเก็ดเงิน-กลาก-ผื่น แต่ต้องใช้ให้เหมาะสม-ถูกประเภท-ช่วงวัย ห่วงโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ผู้ผลิตระบุคำเตือน-ส่วนประกอบ เดินหน้าเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ อดีตนายกสภาเภสัชกรรม และนักวิชาการผู้ขับเคลื่อนการเข้าถึงยาในประเทศไทย กล่าวว่า สภาเภสัชกรรม ร่วมกับศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สนับสนุน โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดการความรู้เกี่ยวกับกัญชา สรุปว่า กัญชา มีประโยชน์ทางแพทย์ และสรรพคุณรักษาอาการต่างๆ หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ปัจจุบันเกิดความนิยมนำกัญชามาประกอบอาหารกันอย่างแพร่หลาย ประเทศไทยมีข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา เพื่อควบคุมการบริโภคกัญชาอย่างเหมาะสม อาทิ ผู้ผลิตต้องได้รับใบอนุญาต สถานที่ผลิตต้องแยกออกจากการผลิตอาหารทั่วไป เพื่อป้องกันการปนเปื้อน นอกจากนี้ต้องระบุส่วนประกอบอย่างชัดเจน ดังนี้
- เด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
- หากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดรับประทานทันที
- ผู้ที่แพ้หรือไวต่อสาร THC หรือ CBD ควรระวังในการรับประทาน
- อาจทำให้ง่วงซึมได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล
- แสดงปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลต่อหน่วยบรรจุ พร้อมระบุ มีสาร THC ไม่เกิน 1.6 มิลลิกรัม ต่อหน่วยบรรจุ
- ไม่ควรบริโภคเกินวันละ 2 หน่วยบรรจุ
- ระบุคำว่า “กัญชา” หรือ “กัญชง” ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาหาร หรือกำกับชื่ออาหาร การใช้กัญชาเป็นอาหาร ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ และความปลอดภัยของประชาชนในการบริโภคกัญชา
รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวต่อว่า ที่ต้องเฝ้าระวังคือผู้บริโภคในแต่ละวัย มีสภาวะของร่างกายที่แตกต่างกัน อาทิ เด็กอายุ 8 เดือน ถึง 12 ปี ที่รับประทานกัญชา จะมีอาการซึม เดินเซ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ใหญ่วัย 18-25 ปี มีแนวโน้มบริโภคกัญชามากขึ้น ทำให้มีความสามารถในการจำและการรับรู้ลดลง บกพร่องในด้านความจำ เกิดความวิตกกังวล เกิดภาวะเฉื่อยเนือย หรือในกลุ่มผู้สูงอายุจะพบอาการสมองเสื่อม เสี่ยงต่อการหกล้ม เนื่องจากเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงต้องมีการควบคุมการใช้ กัญชา ให้เหมาะสมทั้งปริมาณ รูปแบบการใช้ และช่วงวัย
"นอกจากอาหารแล้ว การใช้กัญชาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางก็เป็นที่นิยม โดยได้รับการอนุญาตในรูปแบบ สบู่ แชมพู ครีมนวดผม โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิวหน้า โลชั่นบำรุงผิว ผงขัดผิว ลิปสติก ซึ่งผู้ผลิตจะต้องมีการระบุข้อความคำเตือน เช่นเดียวกับอาหาร อาทิ 1. ห้ามรับประทาน 2. ผลิตภัณฑ์อาจก่อให้เกิดการแพ้หรืออาจระคายเคืองผิวหนังได้ 3. หากใช้แล้วมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ต้องหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร"
“ถึงแม้ว่าประโยชน์ของ กัญชา สำหรับผิวหนังจากงานวิจัย เช่น ลดการอักเสบของผิว เร่งการสมานของบาดแผล บรรเทาอาการคัน ในโรคสะเก็ดเงิน กลาก ผื่นภูมิแพ้ และป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดสิวอักเสบ แต่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำเป็นต้องมีการควบคุม โดยเฉพาะการโฆษณา ซึ่งที่ผ่านมา กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการโฆษณาเครื่องสำอาง เรื่องการโฆษณาของพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค จึงมีการห้ามใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียกล่าวอ้างชื่อสารกัญชา-กัญชงว่าเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางในทางการโฆษณา ซึ่งจะต้องเป็นข้อความที่สื่อความหมายในขอบข่ายของการเป็นเครื่องสำอาง เช่น ใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม โดยไม่เกิดผลด้านอื่นแก่สุขภาพ หรือไม่กล่าวอ้างสรรพคุณทางยา อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง และต้องสอดคล้องกับประเภทเครื่องสำอางที่จดแจ้งไว้ และพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอาง ต้องไม่เป็นเท็จหรือเกินความจริง” รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าว