ชป.แถลงข่าวสถานการณ์น้ำและการจัดการน้ำฤดูน้ำหลากปี 2564
ศักยภาพ เตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือไว้ในพื้นที่เสี่ยง เข้าไปช่วยเหลือได้ทันที ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากปริมาณฝนที่ตกในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศของปี 2564 สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 9% โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลางสูงกว่าค่าเฉลี่ย 9% เท่ากัน ในขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ย 1% จากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่น “เตี้ยนหมู่” ช่วงวันที่ 24-26 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งส่วนใหญ่จะตกบริเวณด้านท้ายเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ส่งผลให้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) ณ วันที่ 3 ต.ค. 64 มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกันเพียง 12,832 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ 6,136 ล้าน ลบ.ม. ยังสามารถรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 12,000 ล้าน ลบ.ม.
ทั้งนี้ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำปิงตอนล่างบริเวณจังหวัดกำแพงเพชร และในพื้นที่จังหวัดลำปาง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงสูงขึ้น และน้ำส่วนหนึ่งที่มาจากพื้นที่จังหวัดลำปาง ไหลลงสู่ลำน้ำแม่มอกและคลองแม่รำพันในเขตจังหวัดสุโขทัย ทำให้มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำฝั่งขวาของแม่น้ำยมบริเวณ อ.เมืองสุโขทัย กรมชลประทาน (ชป.) ได้บริหารจัดการน้ำท่าในลุ่มน้ำยม เพื่อดึงน้ำจากลำน้ำแม่มอกและคลองแม่รำพันให้ระบายลงสู่แม่น้ำยมได้สะดวกรวดเร็ว พร้อมกันนี้ได้หน่วงน้ำไว้ในพื้นที่แก้มลิงทุ่งบางระกำ จ.พิษณุโลก เพื่อช่วยลดผลกระทบกับปริมาณน้ำที่ท่วมในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยฝั่งตะวันตก รวมไปถึงช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลหลากลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย
จังหวัดนครราชสีมา 3 อำเภอ ได้แก่ อ.โนนสูง อ.เมือง และ อ.โนนไทย เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้านท้ายอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) และปริมาณน้ำที่เอ่อล้นตลิ่งของลำน้ำมูลในหลายจุด ทั้งนี้ ในส่วนของสถานการณ์น้ำในอ่างฯลำเชียงไกร (ตอนล่าง) ปริมาณน้ำลดลงแล้ว ส่วนพื้นที่ด้านท้ายกรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำในลำเชียงไกร รวม 18 เครื่อง พร้อมเร่งดำเนินการซ่อมแซมทำนบดินชั่วคราวของอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง)จนแล้วเสร็จ ช่วยลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯ ได้เร็วขึ้น และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้า ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.)
จังหวัดลพบุรี 1 อำเภอ บริเวณริมคลองชัยนาท-ป่าสัก ดังนี้ อ.บ้านหมี่ 6 ตำบล ได้แก่ ต.หนองกระเบียน ต.หนองเมือง ต.บ้านกล้วย ต.บ้านทราย ต.หนองทรายขาว และ ต.พุคา รวม 4,940 ครัวเรือน โครงการชลประทานลพบุรี ได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่
จังหวัดอุบลราชธานี 3 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่ตลิ่งต่ำน้ำท่วมซ้ำซาก ได้แก่ อ.เมือง อ.วารินชำราบ และ อ.ตระการพืชผล เนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “เตี้ยนหมู่” และการระบายในลำน้ำสายต่างๆ ลงสู่แม่น้ำมูล ทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่ง โครงการชลประทานอุบลราชธานี ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ำอีก 100 เครื่อง(แผนวางไว้ 200 เครื่อง) เร่งระบายน้ำไปลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด เพื่อรอรับน้ำเหนือที่กำลังจะลงมาอีกในระยะต่อไป
จังหวัดชัยภูมิ 16 อำเภอ รวมพื้นที่ประมาณ 157,211 ไร่ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำลำคันฉู ลำปะทาว และลำน้ำพรม-เชิญ โครงการชลประทานชัยภูมิ ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 5 เครื่อง และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 8 เครื่อง เร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำชี ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
“ผมได้สั่งการให้ทุกโครงการชลประทาน เฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้ทันที ที่สำคัญให้บูรณาการกับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำในพื้นที่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนหรือสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนให้มากที่สุด หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้านหรือโทร.สายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา” นายประพิศฯ กล่าวในที่สุด