มะเร็งลำไส้ใหญ่ รู้เร็ว รักษาได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่ รู้เร็ว รักษาได้

โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องใกล้ตัวคนเรามากกว่าที่คิด หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยก็คือ โรคมะเร็ง

โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องใกล้ตัวคนเรามากกว่าที่คิด หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยก็คือ โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งในประเทศไทยพบมากเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง เนื่องจากกว่าที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้ตัวก็มักเข้าสู่ระยะกระจายตัวของโรคแล้ว 

แต่ข่าวดีก็คือ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมายที่ช่วยตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้ อัตราการเสียชีวิตลดน้อยลง เพราะโรคนี้ถ้าตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โอกาสที่จะหายขาดก็มีมากขึ้น 

มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากอะไร

มะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นก้อนหรือเนื้องอก ซึ่งในระยะแรกอาจเป็นเป็นเพียงติ่งเนื้อเล็กๆ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้รักษาหรือตัดทิ้งก็อาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ โดยเซลล์มะเร็งนี้สามารถลุกลามไปยังลำไส้และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ 

ปัจจัยของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

• มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป 
• พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มน้ำน้อย ชอบรับประทานเนื้อแดงเป็นประจำ รับประทานผักและผลไม้น้อย ไม่ออกกำลังกาย 
 

อาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าจะถึงระยะแพร่กระจายโรค ซึ่งมักพบอาการที่สำคัญๆ ดังนี้ 

• ปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อยหรือคลำเจอก้อนบริเวณหน้าท้อง 
• ท้องผูกสลับท้องเสีย 
• ท้องเสียเรื้อรัง
• ถ่ายเป็นสีดำหรือสีดำแดง อุจจาระเป็นเลือดสดหรือมีเลือดปน 
• อุจจาระมีขนาดเล็กลง
• รู้สึกถ่ายไม่สุด หรือปวดหน่วงที่ทวารหนัก
• อ่อนเพลีย อ่อนแรงจากภาวะโลหิตจางและการขาดธาตุเหล็ก 
• น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

สิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ก็คือ การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการตรวจหาระยะก่อนการเกิดมะเร็งและตรวจหาเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยังช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตได้อีกด้วย โดยมีเกณฑ์ ดังนี้ 

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง 
• ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี
• เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง 
• มีประวัติคนในครอบครัวหรือญาติสายตรงเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีติ่งเนื้อ ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม 

กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง
• ผู้ที่มีอายุ 45-50 ปี หรือ 50 ปีขึ้นไป ไม่มีอาการผิดปกติ  
• พฤติกรรมมีความเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จำนวนมากติดต่อกันเป็นเวลานาน ชอบรับประทานเนื้อแดง ไม่ค่อยรับประทานผักและผลไม้ ดื่มน้ำน้อย ไม่ค่อยออกกำลังกาย 

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควรตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถตรวจพบติ่งเนื้อได้แม่นยำ และหากพบติ่งเนื้อที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปในขณะส่องกล้อง ก็สามารถตัดติ่งเนื้อได้ทันที มีข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า 90% ของการตรวจพบมะเร็งสำไส้ใหญ่ จะเริ่มจากการพบติ่งเนื้อขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นระยะก่อนมะเร็ง โดยจะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี ก่อนที่เซลล์จะพัฒนาจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ การสวนแป้งเอกซเรย์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ หรือจะเข้ารับการตรวจคัดกรองโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ก็ได้ 


เทคนิคการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI)
โรงพยาบาลสมิติเวชได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลซาโนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่ยอมรับเรื่องความเชี่ยวชาญในการตัดติ่งเนื้อขนาดใหญ่ในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ด้วยเทคนิคการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร โดยทีมแพทย์ของโรงพยาบาลสมิติเวชได้เดินทางไปเรียนรู้เทคนิค และฝึกทักษะด้านการส่องกล้องและการผ่าตัด รวมถึงมีคุณหมอจากญี่ปุ่นเดินทางมาให้ความรู้และทำ case study ให้กับผู้ป่วยที่สมิติเวชมาอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2558 

โดยเทคนิคดังกล่าวมีชื่อว่า Narrow Band Image (NBI) ซึ่งเป็นการฉายรังสีไปที่ผนังลำไส้ที่ดูดซึมสารเข้าไป เพื่อให้เห็นภาพของเส้นเลือดที่ผิวเยื่อบุทางเดินอาหารได้ชัดเจน โดยเทคนิคนี้ จะทำให้เห็นลักษณะของผิวเยื่อบุที่เปลี่ยนไป รวมถึงลักษณะของเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การตรวจด้วยเทคนิค NBI จะช่วยให้สามารถตรวจพบติ่งเนื้อแบบแบนราบที่มีลักษณะคล้ายกับผิวของลำไส้ได้อีกด้วย 

ในปัจจุบัน โรงพยาบาลสมิติเวชได้นำเทคนิค NBI มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial intelligence: AI) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาคุณภาพในการตรวจหารอยโรคในการส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยเรียกเทคนิคนี้ว่า ENDOBRAIN ทำให้สามารถเห็นติ่งเนื้อได้ชัดกว่าเทคนิคทั่วไปถึง 1.5 เท่า 
    
โดยเทคนิค ENDOBRAIN เป็นการจับภาพการส่องกล้องแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้สามารถมองเห็นติ่งเนื้อที่มีขนาดเล็กหรือติ่งเนื้อที่อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ยาก ทำให้แพทย์สามารถตรวจพบติ่งเนื้อที่มีขนาดเล็กได้มากขึ้น รวมถึงสามารถตัดติ่งเนื้อออกได้ทันทีในขณะที่ตรวจ ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัวและผ่าตัดเกินความจำเป็น

การรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้ 
การผ่าตัด สามารถทำได้ทุกระยะของโรค โดยแพทย์อาจพิจารณาใช้วิธีการผ่าตัดควบคู่ไปกับการฉายรังสีและการทำเคมีบำบัด 
การทำเคมีบำบัด โดยการรับประทานหรือฉีดยาเคมีบำบัดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ เพื่อให้ยาดูดซึมเข้าทางกระแสเลือด และออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยสามารถใช้ก่อนหรือหลังผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสี การทำเคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียงกับเซลล์ปกติและการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ผมร่วง ได้
การฉายรังสี ด้วยคลื่นที่มีพลังงานสูง เพื่อทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยลดอัตราการเกิดซ้ำของโรค โดยสามารถทำควบคู่ไปกับการทำเคมีบำบัด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
ยาเฉพาะเจาะจง เป็นการรักษาที่ตรงจุดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งแบบไม่ทำลายเซลล์ข้างเคียง ดังนั้น จึงมีผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่มักใช้ร่วมกับการทำเคมีบำบัด โดยแพทย์จะเลือกใช้ในกลุ่มที่มีการกระจายของมะเร็ง โดยพบว่าการรักษาด้วยวิธีนี้สามารถยืดระยะเวลาการมีชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยอยู่ได้นานกว่าการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว 
ยาภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยตรวจจับและฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการมีชีวิตให้ยืนยาวขึ้น โดยส่วนใหญ่มักใช้ในกลุ่มที่มีการกระจายของมะเร็ง และต้องมีการตรวจชิ้นเนื้ออย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลที่มีประสิทธิภาพ 

วิธีดูแลตัวเองหลังจากรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

แม้ว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน ทั้งตรงจุดเดิมและบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนอื่นๆ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามโรคเป็นระยะ โดยในช่วง 2 ปีแรก แพทย์อาจนัดติดตามอาการทุก 2 เดือน โดยจะมีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทุก 6 เดือน และเอกซเรย์ช่องท้องทุก 3-6 เดือนในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งหากตรวจไม่พบ แพทย์ก็อาจเปลี่ยนเป็นนัดตรวจมะเร็งทุกปี ภายในระยะเวลา 3 ปี 

ซึ่งนอกจากการเข้ารับการตรวจคัดกรองแล้ว ผู้ป่วยก็ควรลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จำกัดการรับประทานเนื้อแดงและอาหารที่มีไขมันสูง เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใย เพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี 

 

พญ. วินิตา โอฬารลาภ
แพทย์ชำนาญการด้านโรคระบบทางเดินอาหาร   โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท