“เอกา โกลบอล” ตั้งเป้า 5 ปี เติบโตเท่าตัว รุกติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มกำลังผลิต 15%
“เอกา โกลบอล” ตั้งเป้า 5 ปี เติบโตเท่าตัว รุกติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มกำลังผลิต 15%
“เอกา โกลบอล” ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวใน 5 ปี ยอดขายเพิ่มเป็น 3 พันล้านบาท หลังได้อานิสงค์เติบโตต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์โควิด เตรียมเปิดโรงงานในอินเดียรับความต้องการสินค้าเพิ่ม จัดงบวิจัยปีละ 2 % มุ่งพัฒนานวัตกรรม สินค้ารักษ์โลกและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ Circular Economy สร้างความยั่งยืนธุรกิจระยะยาว
ธุรกิจจำหน่ายและผลิตบรรจุภัณฑ์ถือเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดจากสถานการณ์โควิด-19 จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกรักษ์โลก รวมทั้งความต้องการบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะหากบริษัทสามารถออกแบบสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจได้มากขึ้น
ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและรักษ์โลก เปิดเผยว่า ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบายในการรับประทานอาหารการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมากขึ้น รวมทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่รักษ์โลก สามารถรีไซเคิลได้ และช่วยยืดอายุอาหารก็มีมากขึ้น
ขณะที่ผลิตภัณฑ์สำหรับบรรจุอาหารสัตว์ก็เป็นอีกกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากขึ้นและบริษัทก็ได้ประโยชน์จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศเนื่องจากในช่วงที่คนอยู่บ้านในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนที่ส่งผลให้ยอดขายเติบโตได้ต่อเนื่องอีกหลายปี
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 25% ในปี 2564 คาดว่ายอดขายรวมจะอยู่ที่ประมาณ 1,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ประมาณ 1,000ล้านบาท ส่วนในปีหน้าตั้งเป้าว่ายอดขายจะได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท โดยสัดส่วนของยอดขายอยู่ในประเทศไทย 70% และอยู่ในต่างประเทศ 30%
บริษัทมีเป้าหมายว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้ายอดขายจะเติบโตได้อีกเท่าตัวคืออยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะขยายโรงงานเพิ่มขึ้นจากที่ปัจจุบันมีโรงงานอยู่ 3 แห่งคือในประเทศไทย 1 แห่ง และประเทศจีน 1 แห่ง ในปีหน้าเตรียมที่จะตั้งโรงงานที่อินดียเพิ่มอีก 1 แห่งที่เมือง PUNE โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 320 ล้านบาท (10 ล้านดอลลาร์) เพื่อรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในอินเดีย
ทั้งนี้มองว่าตลาดอินเดียมีความน่าสนใจเนื่องจากเป็นแหล่งผลิตอาหาร มีจำนวนประชากรมาก เศรษฐกิจเติบโตสูง และประชากรที่เริ่มมีรายได้สูงมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีโอกาสในการเติบโตสูงในการทำธุรกิจ
ส่วนการขยายโรงงานในอาเซียนตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด เช่น ในเวียดนาม ซึ่งบริษัทมีข้อมูล และมีความเชี่ยวชาญในตลาดนี้แต่ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ก่อนว่าจะเข้าไปตั้งโรงงานหรือไม่
สำหรับไลน์การผลิตของโรงงานในประเทศไทยบริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มเติมประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้อีก 15% โดยเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของรายผลิตขึ้นรูปถ้วยพลาสติกได้อีก 50 – 60 แบบ ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องจักรในโรงงานของเอกาโกลบอลนั้นมีการดำเนินการเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าจะมีการเพิ่มส่วนของเครื่องจักรที่เป็นออโตเมชั่นในโรงงานเพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต
นอกจากนี้ ในแผนกลยุทธ์ของบริษัทยังเน้นในเรื่องการผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับลูกค้าที่มีความต้องการที่หลากหลาย เช่น หากลูกค้าอาจต้องการบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่รีไซเคิลได้ ทั้งยังสามารถยืดอายุอาหารออกไปได้ 1 – 2 ปี บริษัทก็สามารถตอบโจทย์ทำให้ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีเป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ตรงกับแนวทาง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ทั้งยังเป็นพลาสติกรักษ์โลกชนิดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ตามแนวคิดรีไซเคิล หรือพลาสติกที่เอาไปผ่านกระบวนการสกัดกลับมาเป็นน้ำมัน เป็นต้น โดยในส่วนของการผลิตพลาสติกจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นมีการดำเนินการแล้วโดยบริษัทเป็นสมาชิกของInternational Sustainability & Carbon Certification System (ISCC)
ชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใส่เม็ดเงินเข้าไปในเรื่องวิจัยและพัฒนา (R&D) ไม่ต่ำกว่าปีละ 2% ของยอดขายรวม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งตอบโจทย์ในเรื่องของ Circular Economy ได้อีกด้วย
สำหรับมุมมองที่มีต่อเรื่องนโยบายการแบนหรือห้ามใช้พลาสติกตามนโยบายของภาครัฐนั้นเขามองว่า ควรจะมีแนวทางหรือพื้้นที่ในการพูดคุยกันระหว่างภาครัฐและผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยังมีจำนวนมากเนื่องจากเข้ากับวิถีชีวิตคนที่ต้องการความสะดวกสบาย ขณะที่ภาครัฐต้องการที่จะลดปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งสามารถที่จะหาจุดร่วมกันได้หากมีการพูดคุยแล้วขอให้การใช้พลาสติกเป็นแบบรีไซเคิลและการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือว่าเป็นทางออกของเรื่องนี้ร่วมกันแบบได้ประโยชน์ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล ผู้ผลิต และผู้บริโภค
“ในปีนี้ เอกา โกบอล เราประสบความสำเร็จด้วยความภูมิใจ แม้เราจะไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ข้ามชาติ แต่เราเป็นบริษัทคนไทยที่เป็นบริษัทขนาดกลาง แต่ก็สามารถเติบโตมีการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้โดยนำเอาความเป็นไทย คนไทยไปให้คนรู้จักทั่วโลก ถือว่าเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจ” ชัยวัฒน์กล่าว