'บ๊อช' ใช้ 'ซอฟต์แวร์' และ 'ปัญญาประดิษฐ์' เสริมความอัจฉริยะให้กับผลิตภัณฑ์
"บ๊อช" ใช้ "ซอฟต์แวร์" และ "ปัญญาประดิษฐ์ (AI)" เสริมความอัจฉริยะให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยชีวิตของผู้คนให้ปลอดภัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสะดวกสบายยิ่งขึ้น
ซอฟต์แวร์ และ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตยุคปัจจุบัน โดย Bosch เล็งเห็นโอกาสว่า ซอฟต์แวร์และบริการอัจฉริยะจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต จึงมุ่งเน้นไปที่โอกาสเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยปัจจุบัน AI มีอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของบริษัท หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในสายการผลิต "ซอฟต์แวร์อัจฉริยะและบริการทางดิจิทัลกลายเป็นรากฐานที่สำคัญในธุรกิจหลัก"
ดร. ธัญญ่า รุกเคอร์ท สมาชิกคณะกรรมการบริหารของ Robert Bosch GmbH กล่าวในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ CES 2025 ที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา ธุรกิจที่เกี่ยวกับ AI และซอฟต์แวร์ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น บ๊อช คาดการณ์ว่าจะสามารถทำยอดขายซอฟต์แวร์และบริการทางดิจิทัลได้เกินกว่า 4 พันล้านยูโร ภายในต้นทศวรรษหน้า โดยกลุ่มธุรกิจยานยนต์จะสร้างรายได้จากการขายประมาณสองในสาม
AI มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาครั้งนี้ "ด้วยสิทธิบัตรมากกว่า 1,500 รายการ ในระยะเวลาเพียง 5 ปี บ๊อชจึงเป็นผู้นำด้านสิทธิบัตรในเยอรมนีและยุโรป"
รุกเคอร์ท กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของ Bosch กว่า 5,000 คน กำลังทำงานเกี่ยวกับโซลูชันอัจฉริยะ Bosch นำเสนอหลักสูตรเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนการฝึกอบรมพนักงานทั้งหมดในด้าน AI อย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน AI Academy ของบริษัทได้ฝึกอบรมพนักงานไปแล้วกว่า 65,000 ราย ซึ่งยังสอดคล้องกับผลลัพธ์ของ Bosch Tech Compass ปีล่าสุด ซึ่งเป็นการสำรวจความคาดหวังของผู้คนต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นประจำทุกปี จากการสำรวจพบว่า 4 ใน 5 คน จากผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกมีแผนที่จะฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI ในปีนี้ และสองในสามเชื่อว่าโรงเรียนควรสอน AI เป็นวิชาอิสระ แสดงสัญญานชัดเจน : ทักษะ AI เป็นพื้นฐานสำคัญต่อสภาพแวดล้อมการทำงานในอนาคต
ในงาน CES 2025 ที่ลาสเวกัส บ๊อช ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ทำให้ชีวิตของผู้คนปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย ซอฟต์แวร์ และ AI หรือพูดอีกอย่างก็คือ บ๊อชกำลังพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำวันของผู้คนจากทุกสาขาอาชีพด้วยซอฟต์แวร์ และ AI
ยานยนต์ ที่อยู่อาศัย และสุขภาพ - ซอฟต์แวร์ บ๊อชอยู่ในทุกสถานการณ์ของชีวิต
ตัวอย่างเช่น "บนท้องถนน" : บ๊อช ค้นพบตัวตนมานานแล้วจากการเป็นบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์ ล่าสุดได้มีการติดตั้งโปรแกรมด้วยฟังก์ชันใหม่ สำหรับยานพาหนะที่จะช่วยให้รถหยุดได้อย่างนุ่มนวลไม่มีอาการกระตุกถือเป็นประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ ในสภาพการจราจรที่เคลื่อนตัวได้ช้า รวมถึงผู้โดยสารที่มีอาการเมารถขณะเดินทาง "ไม่มีใครเข้าใจความต้องการและตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างครอบคลุมเท่ากับบ๊อช"
Paul Thomas ประธานบริษัท Bosch อเมริกาเหนือ กล่าวในงาน CES 2025 ว่า ด้วยความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ เราจึงเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมสำหรับบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่วิธีที่เราใช้และประสบการณ์การใช้รถยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวทางที่เราพัฒนายานยนต์อีกด้วย ในยุคแห่งการขับเคลื่อนที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ โปรแกรมเมอร์ของบ๊อช พัฒนารถยนต์จากมุมมองด้านซอฟต์แวร์ และกำลังพัฒนาสถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์ที่สามารถจะจัดการการโต้ตอบระหว่างระบบอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์และระบบคลาวด์ สิ่งนี้จะเป็นหัวใจหลักในอนาคต หากรถยนต์สามารถดาวน์โหลดฟังก์ชันใหม่ๆ เช่น ข้อมูลสาระและความบันเทิง หรือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ผ่านระบบคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย
ทั้งนี้ Bosch ปัญญาประดิษฐ์ มีบทบาทสำคัญในระบบช่วยเหลือการขับขี่ และระบบอัตโนมัติมาแล้วหลายปี เช่น กล้องอเนกประสงค์ที่เรียกว่า MPC3 ที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 และกำหนดมาตรฐานใหม่ช่วยให้ยานพาหนะสามารถจดจำสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้มากกว่าที่เคย รวมถึงสามารถแยกแยะระหว่างผิวถนนและขอบถนนได้ ดังนั้นจะช่วยให้รถยังคงวิ่งอยู่ในเลนได้อย่างปลอดภัย กล้องนี้ผสมผสานอัลกอริทึมการประมวลผลภาพทั่วไปกับวิธีของ AI เพื่อให้เข้าใจอย่างครบถ้วนว่ากำลังบันทึกอะไร
"กล้องมัลติฟังก์ชันที่ใช้ AI ไม่เพียงทำให้การขับขี่ผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ท้องถนนปลอดภัยมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ถนนทุกคนอีกด้วย"
Thomas กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บ๊อชจึงได้ผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรมยานยนต์เชิงลึกและความเชี่ยวชาญด้าน AI เข้ากับข้อมูลเซนเซอร์จำนวนมากภายในบริษัท เราใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบความช่วยเหลือของเรา
ยิ่งไปกว่านั้น Bosch กำลังศึกษาวิจัยว่าจะใช้ AI เชิงสร้างสรรค์ เพื่อปรับปรุงฟังก์ชันการขับขี่อัตโนมัติให้ดีขึ้นต่อไปได้อย่างไร โดยมุ่งหวังจะทำให้ยานพาหนะสามารถประเมินสถานการณ์และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น ในอนาคต AI เชิงสร้างสรรค์จะฝึกฟังก์ชันการขับขี่อัตโนมัติได้รวดเร็วขึ้น และลดระยะการทดสอบที่จำเป็นในการตรวจสอบความถูกต้อง และด้วยการเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ เช่น หิมะตกบนท้องถนน AI เชิงสร้างสรรค์จะสามารถเปลี่ยนบริบทของลำดับการขับขี่ที่บันทึกโดยกล้อง หรือเซนเซอร์เรดาร์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวอีกนัยหนึ่งระบบสามารถฝึกรับมือกับหิมะได้โดยไม่ต้องรอจนกว่าหิมะตกจริง เนื่องจาก AI จะดำเนินการเอง
AI ช่วยแก้ปัญหาความกังวลใจเกี่ยวกับระยะทาง และการป้องกันการโจรกรรมใหม่สำหรับ eBikes
ด้วยการผสานรวมโลกทางกายภาพและดิจิทัลเข้าด้วยกัน อีกทั้งซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์สำหรับการขี่จักรยานไฟฟ้า Bosch เปิดตัวระบบป้องกันการโจรกรรม Battery Lock แบบใหม่ในลาสเวกัส ซึ่งจะช่วยเพิ่มการป้องกันแก่แบตเตอรี่จักรยานไฟฟ้า : ด้วยการล็อกแบบดิจิทัลโดยใช้สมาร์ตโฟนของผู้ขับขี่เป็นกุญแจ AI ยังช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับระยะการเดินทาง ด้วยฟีเจอร์ควบคุมระยะทางที่ใช้ AI ผู้ขับขี่จักรยานไฟฟ้าที่กำลังจะออกเดินทางสามารถกำหนดระดับการชาร์จแบตเตอรี่ที่ต้องการให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ เช่นเดียวกับพื้นที่ในห้องครัว ที่ผู้คนก็มีความชอบส่วนตัวที่แตกต่างกัน
เตาอบอัจฉริยะ Bosch Series 8 รุ่นที่จัดแสดงในงาน CES 2025 มาพร้อมกับเซนเซอร์กล้อง และ AI โดยเตาอบรุ่นนี้สามารถจดจำอาหารได้กว่า 80 รายการ และตั้งค่าวิธีการปรุง และอุณหภูมิที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกระดับสีสันความสุกของอาหารได้เองสำหรับอาหารในหลายๆ จาน
เตียงเด็กอัจฉริยะ Bosch - ตัวช่วยสำหรับผู้ดูแลเด็ก
เซนเซอร์กล้อง และ AI สามารถแบ่งเบาพ่อแม่ในการดูแลทารกแรกเกิดได้เช่นกัน เปลเด็กอัจฉริยะรุ่นใหม่ Bosch Revol สามารถตรวจสอบสัญญาณชีพของทารก เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจ โดยซอฟต์แวร์สามารถส่งสัญญาณทันทีหากมีของเล่นนุ่มๆ หรือผ้าห่มปิดกั้นทางเดินหายใจของเด็ก หรือ ตรวจพบการส่งเสียงร้องไห้ รวมถึงในกรณีที่ทารกแรกเกิดมีปัญหาในการนอนหลับ เปลจะเริ่มโยกเบาๆ โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าข้อมูลที่บันทึกไว้ในเตียงจะถูกจัดเก็บในรูปแบบการเข้ารหัสบนเซิร์ฟเวอร์ของ Bosch หรือจะคงสถานะออฟไลน์อยู่ภายในพื้นที่ห้อง ทั้งนี้ CTA ซึ่งเป็นผู้จัดงาน CES 2025 ได้คัดเลือกเปลเด็กอัจฉริยะ Bosch เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล CES Innovation Award
Bosch เซนเซอร์อัจฉริยะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรม AI พัฒนาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงวิถีผู้คนในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็คือ เซนเซอร์อัจฉริยะ ซึ่งแม้จะเป็นส่วนประกอบเพียงชิ้นเล็กๆ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก เซนเซอร์ไมโครอิเล็กโทรเมคานิกส์ (MEMS) ที่อัดแน่นไปด้วยซอฟต์แวร์ และ AI ของ Bosch
สามารถพบได้ทุกด้านในของชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน จักรยานไฟฟ้า อุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกาย หรือรถยนต์ เซนเซอร์นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง?
เซนเซอร์เหล่านี้ สามารถเอียงจอแสดงผลจากแนวตั้งเป็นแนวนอน นับก้าวเดิน และควบคุมถุงลมนิรภัยได้ เซนเซอร์ MEMS สมัยใหม่มีไมโครโปรเซสเซอร์ในตัวและทำงานด้วยซอฟต์แวร์อิสระ หากไม่มีเซนเซอร์เหล่านี้ ฟังก์ชันต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยกันดีก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย เช่น การปลุกหน้าจอ แสดงผลบนสมาร์ตโฟน หรือการเปิดใช้งานผู้ช่วยเสียงด้วยหูฟังไร้สาย เซนเซอร์อัจฉริยะบันทึกข้อมูล เช่น การเร่งความเร็ว การหมุน และอุณหภูมิ และใช้ซอฟต์แวร์ Bosch เพื่อประมวลผลข้อมูลโดยตรงในไมโครโปรเซสเซอร์แบบบูรณาการ ซึ่งหมายความว่าฟังก์ชันทั้งหมดนั้นบรรจุอยู่ในตัวเรือนขนาดกะทัดรัด Bosch ผลิตเซนเซอร์ที่เล็กที่สุดในโลก โดยมีขนาดเพียง 0.8 x 1.2 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเม็ดทรายเพียงเล็กน้อย
ข้อดีอีกประการคือ เซนเซอร์ที่มีไมโครโปรเซสเซอร์ในตัวจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ของสมาร์ตโฟน หรือสมาร์ทวอทช์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับฟังก์ชัน "ปลุก" เช่น ระบบเซนเซอร์ใช้เพียงไมโครโปรเซสเซอร์ของตัวเองเท่านั้น เนื่องจากสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ส่วนกลางของอุปกรณ์ ส่งผลให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
Bosch เติบโตด้วยยอดขายหลายพันล้านหน่วยในตลาดเซนเซอร์
AI ยกระดับเซนเซอร์ MEMS อัจฉริยะไปอีกระดับ Bosch นำเสนอเซนเซอร์ที่มีซอฟต์แวร์ AI เรียนรู้ด้วยตนเองแบบบูรณาการ สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องติดตามการออกกำลังกาย AI สามารถจดจำการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และเรียนรู้กิจกรรมออกกำลังกายที่ซ้ำๆ กันหากจำเป็น ยังสามารถให้ข้อเสนอแนะเชิงคุณภาพแก่ผู้ใช้เกี่ยวกับผลการออกกำลังกายของผู้ใช้งานได้ AI ทำงานบนเซนเซอร์โดยตรง ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อกับคลาวด์ หรืออุปกรณ์อัจฉริยะอื่นใด ข้อมูลทั้งหมดยังคงเก็บรักษาเป็นส่วนตัว สามารถบันทึก และวิเคราะห์กิจกรรมได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
จากการวิจัยจากสถาบันวิจัยการตลาด Yole Group* พบว่า Bosch เป็นผู้นำตลาดในกลุ่ม MEMS เป็นเวลากว่า 4 ปี ติดต่อกันแล้ว สมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ทุกๆ 2 เครื่องทั่วโลกจะมีเซนเซอร์ของ บ๊อช และศักยภาพดังกล่าวยังคงมีอยู่อีกมาก โดยจากการศึกษาของ Yole นั้นได้พบว่าความต้องการ MEMS ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคทั่วโลกต่อปีคาดว่าจะเติบโตจาก 33,000 ล้านหน่วย ในปัจจุบันเป็นมากกว่า 40,000 ล้านหน่วย ภายในปี พ.ศ. 2572 Bosch ยังต้องการมีส่วนร่วมในการเติบโตของธุรกิจนี้ และวางแผนที่จะผลิตเซนเซอร์ MEMS อัจฉริยะจำนวนหนึ่งหมื่นล้านตัวที่มีไมโครโปรเซสเซอร์แบบบูรณาการ และซอฟต์แวร์อิสระสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคภายในสิ้นปี พ.ศ. 2573
*ที่มา : Status of the MEMS Industry 2024, Yole Intelligence